มีมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง มีบ้านช่องสวยงามตระการตาแต่อยู่ติดกับบ้านที่เป็นรั้วบ้านเก่าสังกะสีผุๆ ท่านตื่นขึ้นมาทุกเช้า และ มองออกไปเห็นบ้านเฮงซวยหลังนี้ ทิวทัศน์ ทัศนวิสัย แย่มาก
วันหนึ่งทนไม่ไหวแล้ว เห็นตาแก่เจ้าของบ้านสังกะสีตื่นมาพอดี จึงเดินเข้าไปหาและถามว่าบ้านมึงขายเท่าไร ? กูเห็นทุกวันอุบาทว์ตามาก จะขายเท่าไรก็ซื้อ
เจ้าของบ้านสังกะสีอันซอมซ่อ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับพูดจานุ่มนวลอ่อนโยนว่า
" ท่านผู้มีอันจะกิน ผมไม่ขายขอรับ ทุกเช้าผมตื่นขึ้นมา ก็ได้เห็นปราสาทที่งดงามของท่าน ผมมีความสุขที่ได้เห็นแต่สิ่งที่สวยงามตระการตา ทุกเช้าสายบ่ายเย็น ถ้ากระผมขายบ้านให้ท่านไป กระผมก็จะไม่ได้เห็นสี่งที่งดงามตระการตานี้อีกต่อไป "
มหาเศรษฐีถามต่อ แล้วมึงไม่ดูบ้านตัวเองว่า อุจาดตาแค่ไหน อยู่ได้ยังไงนี่
เจ้าของบ้านสังกะสีอันซอมซ่อ ตอบกลับมาว่า
" ขอรับกระผม กระผมก็แค่อาศัยอยู่ด้วยจิตที่เสาะแสวงหาแต่ความดี และความงาม อะไรที่มันไม่งาม กระผมก็ไม่สนใจดู กระผมดูแต่ความงามความดีเท่านั้น
และอะไรที่ไม่ดีไม่งามกระผมก็ไม่ใส่ใจขอรับ กระผมก็ไม่เข้าใจท่านเหมือนกัน บ้านท่านออกใหญ่โตงดงาม แต่ท่านกลับไม่สนใจ ตื่นเช้ามาก็สนใจแต่บ้านเฮงซวยของกระผม ถ้ากระผมเป็นท่าน จะชื่นชมความงามพร้อมของบ้านตัวเอง และจะไม่สนใจบ้านที่เฮงซวยของคนอื่น "
ท่านเศรษฐี ได้คิดว่า แออ จริงด้วย เราคงบ้าไปแล้ว ที่เอาจิตของตัวเองไปจับแต่เรื่องเลวร้าย บ้านของตัวเองที่สวยงามมากกลับไม่สนใจ แถมยังไปวุ่นวายกับของนอกกายรอบข้างที่สกปรก นับตั้งแต่นั้นมา ท่านมหาเศษฐีก็เข้าใจในธรรมของผู้ยากไร้ และกลายเป็นกัลยาณมิตรกัน จวบจนสิ้นอายุขัย
บางครั้ง เรามัวแต่มองออกไปภายนอก จนลืมมอง ถึงสิ่งดีๆ ที่เรามี อยู่กับตัว หากเราได้ ตั้งสติ และมองออกจากภายใน มองด้วยจิตใจที่งดงาม เราคงได้เห็น ความงดงาม และ คุณค่า ของสิ่งต่างๆ อีกมากมาย ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ใจของเรา คงจะผ่องใส ชีวิตของเรา คงมีแต่ความสุข ได้ทุกวัน