ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี
       
   สมัครสมาชิก   เข้าสู่ระบบ
 

 

รวมลิ้งค์ เว็บไซต์ธรรมะ ที่น่าสนใจ
  THAIWARE Dharma | รายละเอียด บทความ บทสวด บทคาถา ธรรมะ
เลือกขนาดตัวอักษร ขนาดตัวอักษร :  ก   ก   ก   ก 

สิ่งทั้งปวงเป็นธรรมะ (ประสบการณ์ ไปปฏิบัติธรรมที่ ประเทศอินเดีย) (ตอนที่ 3)

 

    Share  
 

 

 


สิ่งทั้งปวงเป็นธรรมะ (ประสบการณ์ การเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ ประเทศอินเดีย) (ตอนที่ 3)
 
 
เสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2554 (พุทธคยา) (ต่อจากตอนที่แล้ว)
 
ถาม – ควรเตรียมตัวอย่างไร ในการทำประทักษิณ (เวียนเทียนรอบพุทธคยา)
 
อจ. – มีการวางแผน ธรรมะเป็นอนัตตา ตระเตรียมอะไรไม่ได้ โอปะนะยิโก คือ มีธรรมะที่น้อมเข้ามาในตน มาเจริญขึ้นในตน เครื่องสักการะเป็นอามิส ความเข้าใจ เข้าถึง ปฏิปัตติ ให้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง การสนทนา การฟังธรรม เป็นมงคลอันอุดม ชาตินี้เป็นชาติที่รู้ชัดว่า ทำดี ทำชั่ว อกุศลจิต กุศลจิต เกิดหรือเปล่า ไม่ต้องคำนึงถึงอดีต อนาคต ชาติหน้า เพราะไม่รู้ ควรเจริญกุศล ปัญญา ให้ยิ่งๆขึ้น ในชาตินี้ดีกว่า
หลังการสนทนาธรรม ก็กลับมาโรงแรม คืนนี้มีเรื่องไม่คาดฝัน เหตุเกิดจากบริกรนำผ้าที่ซักแล้วมาให้น้องหมู เขามาเคาะประตูแล้วพูดภาษาอังกฤษแบบอินเดีย ว่า โลน (ด) รี่  ข้าพเจ้าฟังแบบคนมีอกุศลจิต และอกุศลวิตกอย่างแรง คือคิดทางร้ายสุด ข้าพเจ้าคิดว่า เราอยู่คนเดียว รู้ได้อย่างไร ทำไมมาถามว่า โลนลี่ (lonely) อยู่คนเดียวหรือ โรงแรมเมืองแขก ก็มีแบบเมืองไทยหรือ ท่าจะมาผิดห้อง ก็นึกหาทางหนีทีไล่ อีนี่แขกจะมาไม้ไหนหนอ อึกๆ อักๆ มองทางรูประตูก็เห็นไม่ถนัด แขกเคาะมาอีกที ก็เลยลองเจรจา เผื่อจะมาดี ไม่ใช่อย่างที่คิดอกุศลไว้ จึงถามไปว่า ว๊อท (What?) ถึงตอนนี้แขกคงจะคิดว่าเราฟังไม่เข้าใจ จึงพูดช้าลงว่า ลอนดรี่ อ๋อ laundry โธ่เอ๊ย เล่นซะใจหายใจคว่ำ
 
อาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม 2554 (พุทธคยา)
 
สนทนาธรรมที่โรงแรม The Royal Residency ในระหว่างที่คณะเดินทางบางส่วนเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ทางพระพุทธศาสนาอื่นๆ พอสรุปได้ดังนี้
 
อจ. - ถ้ายังไม่เข้าใจธรรมะ ก็ยังมีอกุศลเกิดขึ้นได้ การฟังทั้งหมด ก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ตามความเป็นจริง เมื่อโกรธเกิดขึ้น ก็รู้ว่าเป็นธรรมะ ไม่ต้องเอาโกรธมาเก็บไว้ โกรธคน ไม่ดี (โกรธผู้อื่นเป็นสิ่งไม่ดี) ถูกไหมคะ พระธรรมที่ได้ฟังแล้ว ก็จะพิจารณาเห็น คุณของกุศล  โทษของอกุศล ถ้ายังไม่เห็นดังนี้ ปัญญาก็ยังไม่เจริญ (สาธุ ได้ตัวชี้วัดของปัญญา ความเข้าใจที่เจริญขึ้น ที่นำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน) ดีมากนักหรือ อกุศล คนที่ทำอกุศล ควรสงสาร เพราะเขามีทุคติ มีอกุศลวิบากเป็นที่หมาย คนที่ไม่เข้าใจธรรมะ เมื่อทำความดีก็เป็นบริวารของบารมี จนกว่าจะเข้าใจธรรมะ จึงเจริญบารมี เมตตาบารมีสำคัญ เพราะพรหมวิหาร คือธรรมะเครื่องอยู่ของผู้ประเสริฐ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่คิดร้าย ไม่หวังร้าย ทั้งกาย วาจา ใจ การคบมิตรไม่ควรคบคนพาล เพราะจะทำให้มีความเห็นคล้อยตามได้ เมื่อสามารถอนุเคราะห์ได้ ก็อนุเคราะห์ ไม่ต้องไปคบสนิทสนมด้วย
 
ปัญญา สามารถเข้าใจอกุศลว่าเป็นธรรมะ แล้วละคลาย กุศลก็เจริญขึ้นได้ โลภะ ความติดข้อง ติดได้ทุกอย่าง เว้นโลกุตตรธรรม ดังนั้น การมาอินเดีย เตรียมเครื่องสักการะ ก็มีโลภะเข้าแทรก ด้วยความต้องการที่จะทำกุศล อยากฟังธรรมะ หรือ ฟังเพื่อเข้าใจ ถ้าเป็นความรู้จะละคลายความไม่รู้ ธรรมะกำลังทำหน้าที่ของธรรมะ สิ่งต่างๆ เป็นธรรมะที่มีเหตุปัจจัยจึงเกิด ทำไมไม่สงสัยว่า “เห็น” เกิดแล้วดับ ขณะเห็นเดี๋ยวนี้ มีเห็น เกิดดับมากมาย เหลือประมาณ อุเบกขา คือ ความไม่หวั่นไหว จิตเป็นใหญ่ ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจของจิต "ตามความเป็นจริง" เป็นปัญญา เข้าใจลักษณะแท้ๆ ของธรรมะที่ปรากฏ "ไม่ต้องการ" ได้อย่างไร ในเมื่อมีสภาพ "ความต้องการ"
 
คนที่คิดจะนำวัตถุต่างๆ มาสักการบูชา ด้วยศรัทธา ไม่ผิดค่ะ แต่ประพฤติตามคำสอน นำความดีมาบูชาหรือเปล่า แม้ศรัทธามี แต่ก็ต้องขออนุญาต เพราะไม่ใช่บ้านของเรา ควรให้เป็นที่พอใจของผู้รับด้วย มาคราวนี้ ไม่ได้นมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่พุทธคยาเพราะไปภูฏาน (สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงขออัญเชิญไปราชอาณาจักรภูฏาน เพื่อให้ประชาชนภูฏานได้นมัสการตลอดเดือนตุลาคม และเป็นสิริมงคลในพระราชพิธีอภิเษกสมรส) การเข้าใจอนัตตา เห็นความเป็นอนัตตา (บังคับบัญชาให้เป็นไปดังใจไม่ได้) ในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดี
 
เพลวันนี้ ท่านอาจารย์และคณะร่วมกันเป็นเจ้าภาพเลี้ยงภัตตาหารพระภิกษุและสามเณรชาวศรีลังกาและประเทศต่างๆ ที่มาอยู่ที่มหาโพธิสมาคม ที่พุทธคยา ประมาณร้อยกว่ารูป มากกว่าที่สารนาถ เพราะมีโรงฉันสองแห่ง ถวายย่ามไม่ครบ ยังขาดอยู่หลายองค์ แม้จะอยากให้ท่านได้รับย่ามทุกองค์ แต่จนใจจึงต้องสงบใจ ที่นี่ทำเป็นแบบบุฟเฟ่ พระเณรต้องเข้าคิวรับภัตตาหาร ข้าพเจ้าช่วยตักข้าว รีบตักมาก ไม่อยากให้ท่านถือจานรอนาน และตักไปก็แอบสังเกตหุ่นและอายุพระเณรไปด้วย เพื่อจะได้ตักข้าวให้พอเหมาะสำหรับแต่ละองค์ เลยหกเรี่ยราด ออกจากโรงฉันมาเจอคนครัว คนงาน ยาม ประมาณ 7 - 8 คน เลยแจกเงินให้กำลังใจ ที่เหลือยกให้แม่ชีไทยที่รู้จักกัน แม่ชีมายืนรอทานข้าวหลังพระเณรฉันแล้ว ปรากฏแขกวิ่งมาอีก ก็จนใจรอบสองเพราะหมดเงินที่เตรียมมา จึงรีบเดินหนีไป ที่อินเดียนี้ คนเขารักกันจริงๆ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจริงๆ พอมีคนแจกเงินหรือสิ่งของ เขาจะไปตามกันมาอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าใครทำให้พวกเขาเจ็บหรือได้รับอันตราย เขาจะช่วยกันรุมทำร้ายคนนั้นและพรรคพวกที่มาด้วยกันทันที อันนี้น่ากลัวจริงๆ ตอนถูกแขกรุม และเวลาใครดุ ตวาดใส่ หรือทำหน้าตาขึงขังข่มขู่ เขาก็จะยอมถอยออกไป อาจเป็นเพราะเขายอมรับในระบบวรรณะ (มี 4 วรรณะคือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร) ยอมรับในชะตากรรม และกฎหมายอินเดียที่เข้มงวดจริงจังในเรื่องการทะเลาะวิวาทก็ได้ ข้าพเจ้าเคยไล่แขกน้อยที่ตามตื้ออยู่ครั้งหนึ่ง บอกว่าโน โน ก็ยังตาม แถมยังลามปามมาโอบไหล่ ชักโมโห จึงพูดด้วยสีหน้ารำคาญและน้ำเสียงห้วนๆ ว่า ฮัท ฮัท (ไป ไป๊) ภาษาอินเดียคำนี้ ข้าพเจ้าจำแม่นมาก เพราะสั้นและได้ผลที่สุด เขาจะเลิกตอแยเลย แต่ก็อดสงสารคุณจอมตื้อทั้งหลายไม่ได้ เพราะเรามาเมืองของเขา ถิ่นของเขา ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ควรทำลายน้ำใจของเขา
 
กลางวันท่านอาจารย์ได้รับเชิญจากคุณสุโภชน์ ให้เป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดโรงแรมอิมพีเรียลและเชิญทั้งคณะรับประทานอาหารกลางวันด้วย ทุกคนได้รับการเจิมสีแดงไว้ตรงหว่างคิ้ว เข้าใจว่าเป็นประเพณีการต้อนรับ และคงเป็นอุบายของเจ้าภาพในการป้องกันแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วย คุณสุโภชน์ได้รับความกรุณาจากท่านอาจารย์และคณะเกือบทุกครั้งที่มาอินเดีย เขาเคารพท่านอาจารย์มาก มีความกตัญญู การเชิญท่านอาจารย์และคณะก็เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเขาและครอบครัว ธรรมเนียมนี้คงสืบทอดมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
 
อาหารตามโรงแรมจะคล้ายๆ กันทุกวัน บางท่านรู้ใจ จึงนำอาหารจากเมืองไทยมาแจก ให้อร่อยกัน ข้าพเจ้าชอบอาหารแขกหลายอย่างเช่น หมี่ซั่วแขก ซุปผักเละๆ ปลาและไข่ต้ม เป็นต้น ไข่ไก่แขกสีขาว ต้มแล้ววางบนถาดใส่เกลือ พอปอกเสร็จ เกลือติดไข่อร่อยกำลังพอดี คนไทยมาอินเดียกันมากจนกระทั่งไกด์บอกว่า คนอินเดียขอขอบคุณคนไทย ที่ทำให้เศรษฐกิจของเขาสะพัด ร่ำรวยไปตามๆ กัน ถึงตรงนี้นึกขึ้นได้ว่าที่คนไทยให้เงินขอทานเด็กเล็กๆ ด้วยความสงสารนั้น คนอินเดียเขียนไว้ในเว็บไซด์ว่า คนไทยไปทำให้เด็กเหล่านี้ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะพ่อแม่เอาลูกมาขอทานแล้วได้เงิน เลยไม่ให้ลูกไปเรียนหนังสือ ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณที่เขาว่าเรา เพราะเราแจกเงินจนไม่ทันนึก เราทำให้เด็กเหล่านี้ไม่ได้เรียนหนังสือ เราทำกุศลกรรม พ่อแม่เด็กได้กุศลวิบาก แต่เด็กได้อกุศลวิบาก  ที่พุทธคยานี้ มีแขกมาสมัครเป็นลูกชายอยู่คนหนึ่ง พอเห็น ก็เรียก แม่ แม่ เลยช่วยซื้อของบ้าง วานให้ช่วยพาไปหาของที่ต้องการให้บ้าง เที่ยวนี้เคี้ยวหมากปากแดงทำตัวแก่ขึ้น ส่วนอีกรายข้าพเจ้าไปสมัครเป็นเพื่อนแขก เพราะไปกราบหลวงพ่อองค์ดำที่นาลันทา ก็เจอกันทุกที หน้าตาเสียโฉมจนน่ากลัว ทำตัวเป็นมาเฟีย คอยเก็บเงินคนที่เข้าไปกราบหลวงพ่อ แต่ถ้าเจอข้าพเจ้าเขาจะพยักพเยิดให้ข้าพเจ้าผ่านไปได้ ล่าสุดกลับตัวเป็นพ่อค้า ข้าพเจ้าเลยบอกว่า ยู อาร์ มาย เฟรนด์ (ลดราคาให้หน่อย)
ขากลับได้มีโอกาสคุยธรรมะกับน้องคนหนึ่งซึ่งมาเป็นครั้งแรก และกำลังเริ่มศึกษาธรรมะ จึงพยายามอธิบายการเกิดดับของภาพที่ปรากฏทางตา โดยเปรียบเทียบกับภาพนิ่งบนแผ่นฟิล์มภาพยนตร์ แต่ละภาพคือสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วดับไปแต่ละขณะ เมื่อนำภาพนิ่งเหล่านั้นมาเรียงติดต่อกันยาวเป็นม้วนๆ แล้วผ่านเครื่องฉายที่หมุนภาพเหล่านั้นให้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก็เหมือนภาพที่เกิดดับสืบต่อเนื่องกันไปอย่างรวดเร็ว มองเห็นภาพเคลื่อนไหว เห็นเป็นเรื่องราวต่างๆ น้องบอกว่า พอเข้าใจขึ้น เมื่อคุยกันมาถึงตรงนี้ รถก็มาจอดที่โรงแรม จึงไม่ได้คุยกันอีก ข้าพเจ้ามานึกว่า ถ้าได้คุยต่อก็อยากจะบอกน้องว่า การเกิดดับของเสียงที่ปรากฏทางหู ก็เปรียบเหมือนกับเสียงที่อัดไว้ในเทปเป็นคำๆ ต่อๆ กันจนเป็นม้วนๆ พอผ่านเครื่องเล่นเทปที่หมุนอย่างรวดเร็ว ก็เหมือนเสียงที่เกิดดับสืบต่อเนื่องกันไปอย่างรวดเร็ว  ได้ยินเป็นเสียงพูด เสียงต่างๆ ได้ เมื่อนำทั้งภาพและเสียงมาเปิดพร้อมๆ กัน ทั้งๆ ที่เกิดดับไม่พร้อมกัน คนละขณะกัน และจิตก็รับรู้ต่างขณะกัน แต่การเกิดดับที่รวดเร็วมากนี้ ก็ทำให้เราเผลอคิดไปได้ว่า ภาพและเสียงที่ปรากฏ เหล่านั้น เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นคนที่เราชอบ เป็นคนที่เราไม่ชอบ เป็นเรื่องราวต่างๆ นึกคิดปรุงแต่งไปได้มากมาย เกิดอคติ ความรัก ความเกลียด ความหลงผิดและความกลัวขึ้น เกิดมิจฉาทิฏฐิ ติดข้อง เพลิดเพลิน ไม่รู้ว่าภาพและเสียงไม่มีชีวิต เป็นรูป ไม่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏคนละขณะกัน เกิดขึ้น แล้วดับไป ไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ ปรากฏแบบแยกเป็นส่วนๆ ตามการรับรู้ทางทวารทั้งหก ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่เพราะความไม่รู้ อวิชชา จึงรวมการรับรู้สิ่งที่ปรากฏเหล่านั้น ทุกทวาร ไว้ด้วยกัน ยึดมั่นว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน แถมยังมีกิเลส ตัณหา มิจฉาทิฏฐิ เป็นกาวตราช้าง ช่วยยึดให้ติดแน่นยิ่งขึ้นๆ
 
ณ สนามหญ้าข้างพระสถูปพุทธคยา (โพธิมณฑล) ยามเย็นใกล้ค่ำ คณะทั้งหมดมาเจอกันและสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์และอาจารย์วิทยากร  ข้าพเจ้าจดบันทึกมาได้ดังนี้
 
ปัญญาที่มั่นคงในความจริง เป็นสัจจญาณ โลกนี้มืด เพราะไม่รู้ความจริง ว่าสิ่งที่เห็น ปรากฏได้เฉพาะทางตาเท่านั้น แต่ละคนที่กำลังทำสิ่งต่างๆ (ที่เรามองเห็นอยู่) ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ระหว่างการเดินทาง แต่ละคนก็มัวคิดถึงสิ่งต่างๆ แต่ไม่ได้มองเห็นตามความเป็นจริง ถึง “ความเข้าใจถูก” ในสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน เมื่อระลึกถึงธรรมะที่กำลังปรากฏ คือ ตามรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ
 
พระพุทธศาสนา คือ คำสอน ที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา คือการรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ทำให้เข้าใจถูก เห็นถูก ในธรรมะที่ปรากฏ เป็นอริยสัจที่ 1 คือ ทุกขอริยสัจจะของผู้ที่รู้ความจริง แต่ถ้ารู้จัก ทุกข อริยสัจจ์ แต่ยังมีความติดข้อง ก็ยังไม่แจ้งในอริยสัจจสี่ ยังละไม่ได้
 
ถาม – ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เป็นเครื่องเนิ่นช้า เนิ่นช้าอย่างไร
อจ. – ขณะนี้เป็นความติดข้อง หรือ ความเห็นถูก ถ้าเป็นความติดข้อง ก็เนิ่นช้าไปอีก
 
ถาม – สิ่งที่ล่วงไปแล้ว คืออะไร
อจ. – เมื่อกี้นี้ค่ะ
 
สิ่งที่ยังไม่มาถึง ไม่ว่าจะคิดถึงอย่างไร ถ้าสิ่งนั้นไม่ปรากฏ (ไม่มีปัจจัยให้ปรากฏ) ก็ไม่ปรากฏ (ก็ปรากฏไม่ได้) ปัญญาที่จะเจริญต้องสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ความเข้าใจขึ้น ก็ต้องใช้เวลาสะสมขึ้น อาจหาญร่าเริง เดี๋ยวนี้ค่ะ อาจหาญร่าเริงที่จะรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ ... กายไม่รู้อะไรเพราะเป็นรูปธรรม แต่ขณะที่เจ็บเกิดขึ้นเป็นนามธรรม ความรู้สึก ... ไม่ว่าพูดธรรมะคำไหน แต่ไม่เข้าใจพระธรรมคำนั้น ก็เป็นผู้บ่นเพ้อธรรมะ และเป็นการทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้า ... สมาธิเป็นเจตสิกที่เกิดพร้อมจิตทุกขณะ เป็นสภาพตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ เป็นเอกัคคตาเจตสิก สมาธิที่เกิดกับความเข้าใจผิด เป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าเข้าใจถูกเป็นสัมมาสมาธิ ... อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็คือขณะนี้เอง สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป คือลักษณะของการเกิดดับ ให้รู้ความจริงว่า ทุกสิ่งเป็นธรรมะ
 
คืนนี้ท่านอาจารย์และคณะทั้งหมดได้เวียนเทียนรอบโพธิมณฑล โดยเวียนเทียนรอบใหญ่ คือตามทางเดินรอบรั้ว ดังนั้นถ้าผ่านไปแถวที่เด็กๆมาขอเงินได้ เขาก็จะเกาะขอบรั้ว ร้องเรียกเพื่อขอเงิน ข้าพเจ้าได้รับความอนุเคราะห์โคมเทียนจากคุณวันชัย (สาธุ) แต่โคมเทียนไม่มีครอบแก้วต้องคอยเอามือป้องกันลมไว้ มิให้ไฟดับ เมื่อเทียนหมดเล่ม ข้าพเจ้าก็ได้รับความอนุเคราะห์เทียนจากท่านผู้เมตตา (สาธุ) จึงวุ่นวายไปกับการระวังไม่ให้แสงเทียนดับตลอดทาง (กุศลวิบากเป็นปัจจัยแก่อกุศลวิบาก เมื่อสติไม่มา ปัญญาไม่เกิด  อกุศลจิตก็ปรากฏ) ในช่วงเวลาที่ไปนี้ กลางคืนแมลงมากจริงๆ ทุกที่ มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ตัวใหญ่ดูคล้ายแมลงตับเต่า เห็นสุนัขจับเอาไปกิน คงอร่อย ส่วนตัวเล็กๆที่มีลักษณะคล้ายจักจั่นจิ๋วเพราะตัวเล็กมากกระโดดได้ แมลงเหล่านี้บินล้อเล่นไฟสปอร์ทไลท์ที่ส่องสว่างทั่วบริเวณ ลำแสงไฟสปอร์ทไลท์เต็มไปด้วยแมลง พอเดินผ่าน มันจะตกลงมาบนตัว  เข้ามาในเสื้อ รำคาญ เลี่ยงก็ไม่ได้ ที่ตกบนพื้นไม่อยากเหยียบ ก็เยอะจนหลบไม่ได้ นึกขึ้นมาว่า ผู้ที่ยังติดในอวิชชา ตัณหา มานะ ทิฏฐิ กิเลสทั้งหลายมีมากมายเหลือคณานับ เพียงแค่แมลงในโพธิมณฑลนี้ (แมลงอยู่ในภพภูมิของสัตว์เดรัจฉานอันเป็นผลจากโมหะ อวิชชา หรืออกุศลกรรมอื่น) ก็นับล้านๆ ตัว ที่มาหลงแสงสี เริงร่า สุข สนุกสนาน เพื่อจะตกมาตาย ผู้ที่ติดข้องในอวิชชา ในกิเลสทั้งหลาย ก็ย่อมถึงความพินาศทั้งนั้น ไม่มีเว้น ข้าพเจ้าเวียนเทียนไปด้วยอกุศลจิตเป็นส่วนใหญ่ กุศลจิตพอเกิดบ้างเป็นระยะๆ เมื่อมองไปที่องค์พระเจดีย์พุทธคยา พระศรีมหาโพธิ์ วิหารพระพุทธเมตตา หลังเวียนเทียนเสร็จแล้ว ทุกคนไปที่มหาโพธิสมาคม ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน เพื่อนำโคมเทียนไปมอบให้ เนื่องจากโคมเทียนซึ่งมีครอบแก้วและสามารถไขเทียนขึ้นลงได้นี้ เป็นที่ต้องการของพระภิกษุสามเณรมาก
 
มีคนปรับทุกข์ในภายหลังให้ท่านอาจารย์ฟังว่า เวียนเทียนรอบหลังๆแทบจะไปไม่เป็น ท่านอาจารย์บอกว่า ก็แทบจะไปไม่เป็นเหมือนกันค่ะ แม้ข้าพเจ้าก็ยังคิดว่าเวียนรอบเดียวไม่ได้หรือ อย่างไรก็ตาม ขันติ คือ ความอดทน เป็นตบะอย่างยิ่ง ก็ทำให้ทุกท่านเวียนเทียนรอบโพธิมณฑลได้ครบสามรอบ สาธุ
 
จันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2554 (พุทธคยา – นิวเดลี)
 
เดินทางจากคยา (Gaya) ไปยังปัฎนะ (Patna) เมืองหลวงของรัฐพิหาร เพื่อขึ้นเครื่องบินไปยังนิวเดลี ไม่ได้แวะวัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร และวัดวาลิการาม เมืองเวสาลี ที่เป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 และครั้งที่ 2 ตามกำหนดการเดินทาง เป็นเพราะออกจากคยาสายมาก เวลาไม่พอ รถวิ่งเลยไปรับประทานอาหารกลางวันที่เมืองไวสาลี (เวสาลี ในครั้งพุทธกาล) ที่โรงแรมกำลังสร้างใหม่ อยู่ใกล้ๆกับวัดไทยไวสาลี ที่วัดนี้ก็มีคลินิกรักษาคนจนด้วย  จากนั้นเดินทางไปกูฎาคารศาลา ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี สถานที่ที่พระนางปชาบดีโคตมีทรงรับครุธรรม 8 ประการ ก่อนที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุณีองค์แรกในพระพุทธศาสนา ที่นี่มีเสาหินที่พระเจ้าอโศกสร้างไว้ ที่ยังคงความสมบูรณ์และงดงาม รอดพ้นจากการถูกทำลายมาได้ แต่หัวเสาเป็นสิงโตตัวเดียวไม่ใช่สี่ตัว ช่วงฤดูฝนน้ำคงท่วมบริเวณสถูปมากเพราะมีร่องรอยให้เห็น ชาวบ้านแถวนี้เริ่มนำสินค้าข้าวของมาขายนักท่องเที่ยว แสดงว่ามีคนมาที่สถูปนี้มากขึ้น เรื่องหาเงินเก่งอย่างนี้แขกหรือไทยก็ไม่แพ้กัน รวดเร็วพอๆกัน
 
สนทนาธรรมที่กูฎาคารศาลา ป่ามหาวัน เวลาจำกัด และมัวถ่ายรูป พอจดมาได้ดังนี้
 
ขณะที่มีสิ่งใดมากระทบ เป็นคนละขณะกับการรู้สิ่งที่มากระทบ จะเห็นได้ว่าจิตเกิดดับเร็วมาก... ถ้ามีภิกษุณีจะทำให้อายุพระพุทธศาสนาลดลงครึ่งหนึ่ง จาก 5000 ปี เหลือ 2500 ปี แต่เพราะขณะนี้ไม่มีภิกษุณีแล้ว ศาสนาก็จะยังคงอยู่ถึง 5000 ปี
เรื่องนี้ค้างคาใจข้าพเจ้ามานาน จึงค้นข้อมูลเพิ่มเติม ในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ตรัสเรื่องนี้กับพระอานนท์ การรับครุธรรม 8 ประการของภิกษุณีและการถือศีล 311 ข้อ ที่ทรงบัญญัติในกาลต่อมา พระพุทธองค์ทรงวางไว้เพื่อป้องกันมิให้พุทธศาสนาเสื่อมไปเร็วดังที่ทรงพยากรณ์ ในช่วงก่อนพระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ภิกษุณีที่เป็นพระอรหันต์ มีพระนางมหาปชาบดีโคตมี พระนางยโสธราพิมพา เป็นอาทิได้ทูลลาปรินิพพานไปก่อนหลายหมื่นองค์แล้ว แต่ยังมีภิกษุณีสืบทอดต่อมาจนในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระราชธิดาองค์หนึ่งบวชเป็นภิกษุณีเป็นพระอรหันต์ พระนามว่า พระนางสังฆมิตตาเถรี ได้เผยแพร่พระพุทธศาสนาให้เจริญขึ้นในศรีลังกา มีสตรีชาวศรีลังกาบวชเป็นภิกษุณีจำนวนมาก ข้าพเจ้าเห็นว่าครุธรรมก็เป็นธรรมที่ภิกษุณีควรประพฤติ เช่น ภิกษุณีห้ามให้โอวาทสั่งสอนภิกษุ ห้ามด่าบริภาษภิกษุ ต้องไปรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน ต้องจำพรรษาในวัดที่มีภิกษุ และภิกษุณีแม้บวชมาแล้วร้อยพรรษา ก็ต้องเคารพภิกษุ แม้ว่าภิกษุนั้นเพิ่งบวชได้วันเดียว เป็นต้น เมื่อศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์แล้ว จะทราบว่า การเป็นอุบาสกอุบาสิกา รักษาศีลห้าให้ครบ ศึกษาฟังธรรมให้เข้าใจ ทำความเห็นให้ตรง เพียรเจริญปัญญา โอกาสบรรลุมรรคผลก็มีเหมือนภิกษุภิกษุณี ถ้าผิดพลาดพลั้งไปก็ไม่บาปหนักเท่าภิกษุภิกษุณี หลายท่านศรัทธาอยากบวชเป็นภิกษุภิกษุณี แต่ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจในพระธรรมวินัยอย่างมั่นคง ละเอียด ลึกซึ้งแล้ว อาจกลายเป็นผู้ทำลายพระศาสนาได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งบาปมาก อันตรายมาก
 
จริงๆ วันนี้ ข้าพเจ้าอยากไปวัดอโศการาม ซึ่งอยู่ในเมืองปัฏนะ เพราะเป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 ที่มีพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระเป็นประธาน และได้แบ่งภิกษุเป็น 9 สาย โดยสายหนึ่งมีพระโสณะ พระอุตตระและภิกษุอีก 3 รูป เป็นพระธรรมทูตเดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิ ทำให้คนไทยเลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนาสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เวลาจำกัด ต้องรีบไปขึ้นเครื่อง แม้จะเตรียมใจแล้วและรู้ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา แต่ก็อดผิดหวังไม่ได้
 
ระหว่างรอขึ้นเครื่องที่สนามบินปัฏนะ ข้าพเจ้าไปซื้อชามัสล่ามาดื่ม อร่อยชื่นใจ จากปัฏนะไปนิวเดลี ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที คืนนี้กลับไปนอนที่ Crowne Plaza ความทันสมัยและไฮเทคของโรงแรมนี้ ก็ทำให้ยุ่งอีกเล็กน้อย คือ ผนังห้องน้ำที่อยู่ด้านห้องนอน เป็นกระจกใส มีบานเกล็ดทึบที่หมุนเปิดปิดได้ ข้าพเจ้าเคยเจอบานเกล็ดแบบนี้ ซึ่งมีปัญหาว่า ถ้าปิดผิดด้าน ก็จะเห็นคนที่อยู่ด้านในชัดเจน แจ่มแจ๋ว เลยตรวจสอบความเรียบร้อย ปรากฏว่ากลไกของบานเกล็ดใกล้พัง แขกคงหมุนไป ไทยคงหมุนมา เห็นชัดเจนมาก จนต้องดับไฟในห้องน้ำ นอกจากนี้กลอนประตูห้องน้ำเป็นชนิดล็อกสองชั้น ถ้าไม่รู้วิธี ก็เป็นเรื่อง ข้าพเจ้าก็เกือบไป ดีว่าน้องหมูช่วยบอก เข็ดเลย
 
สิ่งที่ท่านอาจารย์เน้นย้ำในวันนี้คือ “ให้ฟังให้เข้าใจก่อน ไม่ต้องไปคิดเป็นคำๆ เช่น นี่โลภะ นี่โทสะ แต่ให้รู้สภาพธรรมะ ลักษณะของธรรมะที่ปรากฏเกิดขึ้นตามจริง”
 
อังคารที่ 25 ตุลาคม 2554 (นิวเดลี – กรุงเทพฯ)
 
แล้ววันสุดท้ายของการเดินทางก็มาถึง การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างสะดวกและราบรื่น เพราะพักโรงแรมระดับสามดาวถึงห้าดาว หัวหน้าทัวร์จัดระบบการให้บริการดูแลอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ของลูกทัวร์ค่อนข้างดี เดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศหลายช่วง และการเดินทางโดยรถยนต์ก็ได้รถทัวร์ที่มีสภาพดี ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ที่เคยพักวัดบ้าง พักโรงแรมระดับหนึ่งดาวถึงสามดาวบ้าง ซึ่งบางแห่งข้าพเจ้าอดไม่ได้ต้องช่วยทำความสะอาดห้องน้ำให้ด้วย การเดินทางโดยรถยนต์ตลอด หลายครั้งได้รถทัวร์เริ่มเก่าหรือเก่า แต่แขกบอกว่ารถใหม่ทุกคัน ก็จะเหนื่อยจะเพลียมาก โดยเฉพาะผู้ที่สุขภาพไม่ค่อยดีอย่างข้าพเจ้า ดังนั้นการมาอินเดียจึงต้องเตรียมความพร้อมไว้ทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะความพร้อมทางใจ คือ ต้องยอมรับความจริงที่ว่า ทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่พบ ที่เจอะเจอตลอดการเดินทางนั้น เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ตามผลกรรมที่เคยทำมา บังคับบัญชาไม่ได้ ก็ต้องอดทน อย่าไปเดือดร้อน กระวนกระวายใจมากมาย จนกระทั่งขาดการเจริญกุศลเจริญปัญญา หรือละเลยการทำความดีถวายเป็นพุทธบูชาในระหว่างการเดินทางในดินแดนพุทธภูมินี้
 
ที่สนามบินนานาชาติ อินทิรา คานธี จดจำคำพูดท่านอาจารย์มาได้ว่า “ฟังให้เข้าใจ ให้รู้ว่า ทุกขณะเป็นธรรมะ ทุกสิ่งที่ปรากฏเป็นธรรมะ ไม่ต้องไปคิดว่า ขณะนี้มีโลภะ ขณะนี้เกิดโทสะ แต่ให้รู้ลักษณะ สภาพธรรมะที่เกิดแล้วดับไป ในปัจจุบัน”
               
เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ก็ถึงเวลาล่ำลากัน ด้วยไมตรีจิตและความผูกพันที่มีต่อกันในระหว่างการเดินทาง ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณและขอบคุณอาจารย์และทุกท่านที่ให้ความเมตตากรุณาต่อข้าพเจ้า กลับเมืองไทยเที่ยวนี้หลายท่านบ้านน้ำท่วม กลับเข้าบ้านไม่ได้ ต้องไปพักที่อื่น ข้าพเจ้าก็ตื่นเต้นเหมือนกัน เมื่อทางบ้านบอกว่าถนนบางสายน้ำท่วม ต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น ที่นัดแนะกับคุณหน่อยว่าจะกลับด้วยกัน ก็ต้องยกเลิกไป ตามสภาพธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งขณะนั้น ธรรมะเป็นอนัตตา วางแผนกันดิบดี ก็มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนไป ข้าพเจ้ากราบลาท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง และขอบพระคุณท่านที่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ข้าพเจ้าตลอดการเดินทาง ความเข้าใจว่าสิ่งทั้งปวงเป็นธรรมะเพิ่มขึ้น แม้จะยังไม่มั่นคง เพราะสติยังเกิดน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเผลอสติที่เกิดเป็นประจำข้าพเจ้าจะพากเพียรศึกษาฟังธรรม บ่อยๆ ทุกวัน จนความเข้าใจมั่นคงจรดเยื่อในกระดูก เห็นสภาพธรรมทุกอย่างที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยความอาจหาญ ร่าเริง ไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรมอีกต่อไป ...
 



THAIWARE Dharma | นำข้อมูลบทความออก !  นำข้อมูลออกพิมพ์ !

THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออก โดยการพิมพ์ (Print Article by Printable View)    THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออกสู่ MS.Word (Export Article to MS.Word)    THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออกสู่ ไฟล์เอกสาร PDF (Export Article to PDF Format Document)
 

THAIWARE Dharma | กลับสู่หน้าแรก ไทยแวร์ธรรมะ
 

 

 

 

  THAIWARE Dharma | ส่งความคิดเห็นจากทางบ้าน !
หัวข้อ เนื้อหา ข้อตกลง
  ความคิดเห็น* :

หมายเหตุ : กรอกรายละเอียดของบทความเข้าไป (ไม่รับ HTML Code) สามารถกด Enter ขึ้นบรรทัดใหม่ได้
  ห้ามโพสข้อความ !

  ที่มีการพาดพิงถึงสถาบัน พระมหากษัตริย์และราชวงศ์

  ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือส่งผลต่อ ความมั่นคงของประเทศ

  ที่ส่อไปทางลามก อนาจาร หรือผิดศีลธรรม

  ที่ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผิดกฎหมาย

  ที่เป็นความผิด เกี่ยวกับการก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา

  ที่มีการพาดพิงถึงสถาบัน พระมหากษัตริย์และราชวงศ์

  ที่ผิดต่อ พรบ. ว่าด้วยการกระทำผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๑
  ชื่อ / อีเมล์* :

หมายเหตุ : "นาย สมชาย รักธรรม" หรือ "somchai.r@gmail.com"
  รหัสยืนยัน* :

 
ฉันยอมรับข้อตกลงที่กล่าวมา ภายในหน้านี้ ทั้งหมด