คนส่วนมากเข้าใจว่า กรรม คือ การกระทำ ความเข้าใจนี้ไม่ผิด แต่ก็เป็นความคิดที่ยังไม่รัดกุมถูกต้องทั้งหมด เพราะมีการกระทำบางอย่างที่ไม่นับว่าเป็นกรรม กรรมที่แท้ ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ๒ ประการ คือ
๑. ผู้กระทำมีเจตนา
๒. การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือบาป
ที่ว่า ผู้ทำมีเจตนา มีหลักการพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในนิพเพธิกปริยายสูตร ฉักกนิบาต อังคุตรนิกาย ว่า เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิแปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม
เจตนา ได้แก่ ความตั้งใจ ความรับรู้ มี ๓ อย่าง คือ
ปุพพเจตนา เจตนาก่อนทำ
มุญจนเจตนา เจตนาในเวลาทำ
อปราปรเจตนา เจตนาเมื่อได้ทำไปแล้ว
ดังนั้น การกระทำที่มีเจตนาเกิดถึงกรรม ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนา คือ ใจไม่ได้สั่งให้ทำ ไม่จัดเป็นกรรม เช่น คนเจ็บ มีไข้สูง เกิดเพ้อคลั่ง แม้พูดคำหยาบ เอามือหรือเท้าไปถูกใครก็ไม่เป็นกรรม ในทางวินัยก็ยกเว้นให้พระที่วิกลจริตทำผิดวินัยไม่ต้องอาบัติ
มีเจตนา คือความตั้งใจที่จะให้ทานนั้น แบ่งเป็นกาลเวลาได้ ๓ กาล คือ ปุพเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นก่อนให้ แค่คิดอยากจะให้ ก็เกิดปีติยินดีที่จะให้ทาน (คือเริ่มตั่งแต่คิดจะให้ แต่ยังไม่ได้ให้ แต่ว่า เพียงคิดว่าจะให้ นี้เจตนาที่ 1 ) มุญจเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นในขณะกำลังให้ของเหล่านั้น เกิดความปีติยินดี ไม่ลังเลสงสัยในขณะกำลังให้ทาน (คือเริ่มตั้งแต่ขณะที่กำลังจะยื่นของให้ ของนั้นก็ถึงมือผู้รับ นี้เจตนาที่2) อปรเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นหลังจากได้ให้เรียบร้อยแล้ว แล้วเกิดความปีติยินดีในการให้ของตน แล้วก็รู้สึกยินดี เบิกบาน ว่าเรานี้ได้ให้ทานแล้ว แม้จะผ่านไปนานแล้ว เมื่อคิดถึงทานที่เคยให้ ก็มีปีติยินดี (คือเริ่มตั่งแต่ของหลุดจากมือไป ถึงมือผู้รับเรียบร้อยแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ไม่เสียดายของ ไปจนกว่าจะได้รับอานิสงส์ทานนั้น)
ทานอย่างนี้มีผลมาก ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อผลทานนี้เกิดขึ้นแก่คนที่ให้ทาน ถ้าหากว่าเมื่อเขาไปเกิดในชาติใหม่ ถ้าเขาทำทานด้วยความบริสุทธิ์ คือ จิตใจเบิกบานทั้ง ๓ กาลนี้ เขาจะมีความสุขในปฐมวัย มัชฌิมวัย และปัจฉิมวัย
ถ้าเราทำบุญ ให้ทาน ด้วยจิตใจที่มีความปีติยินดี โสมนัส ทั้งใช้ปัญญาด้วยแล้ว เชื่อกรรมและผลของกรรม ครบทั้ง ๓ กาล บุญของผู้นั้นย่อมมีผลมาก
หมายเลขไอพี : 110.49.234.xxx
โพสเมื่อ : October 4, 2011 เวลา 11:58:04