บทส่งท้าย
ชาวพุทธ และสัมมาสมาธิ
ประสบการณ์ทางธรรมในช่วงที่ได้มีโอกาสติดตามคณะของท่านอาจารย์สุจินต์ไปกราบสังเวชนียสถาน ก็มีอันจะต้องจบลง แม้จะอยากติดตามท่านอาจารย์และคณะไปอินเดียอีกเป็นปีที่สี่ก็ตาม แต่เหตุปัจจัยก็ไม่เป็นดังหวัง จึงขอฝากธรรมะจากพระไตรปิฎก จากท่านผู้รู้ผู้ศึกษาธรรม จากการฟังและศึกษาธรรม อีกสักกระบุงหนึ่ง มาแถมไว้ให้ได้ระลึกถึง พระธรรม กันบ่อยๆ
ชาวพุทธนั้นมีหลายแบบ แบบที่เป็นไปตามทะเบียนบ้าน เกิดมาก็ได้ชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนาก็มีอยู่มาก แต่ถ้าถามบุคคลเหล่านั้นว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรมอะไร ก็ไม่รู้ ไม่อาจตอบได้ และยังมีชาวพุทธอีกแบบ จำนวนมากอีกเหมือนกัน ที่เป็นชาวพุทธแบบตามใจฉัน ชอบและเชื่อบางคำสอนโดยไม่ไตร่ตรองว่าเป็นคำของใคร เพราะมุ่งไปยังประโยชน์ของตนเองที่จะได้จากคำสอนนั้นๆ โดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ ว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่
พุทธศาสนิกชน หรือ ชาวพุทธ คือ ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา การที่จะเป็นชาวพุทธที่แท้จริงได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม อันเป็นคําสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เรียกว่า พระพุทธศาสนา เป็นคําสอนของผู้ทรงตรัสรู้ความจริง และมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นไปตามลําดับก็จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้ความดีประการต่างๆ ในชีวิตประจําวัน เจริญยิ่งขึ้นด้วย ทําให้เป็นผู้มีศีล กระทําในสิ่งที่ควรทํา และงดเว้นในสิ่งที่ควรงดเว้น เป็นผู้ที่มีศรัทธา เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เมื่อมีความเข้าใจถูก ก็ไม่เป็นผู้เชื่อมงคลตื่นข่าว (ไม่เชื่อมงคลอื่นๆ นอกจากมงคลหรือเหตุให้ถึงความเจริญ 38 ประการ จากพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ มงคลสูตร) แต่มีความมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรม
และเมื่อมีความเข้าใจถูก ก็ทําให้ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอกพระพุทธศาสนา (คือไม่สนับสนุน ไม่เชื่อถือ ไม่ประพฤติตามศาสนา ลัทธิ หรือความเชื่ออื่นๆ) เนื่องจากว่าคําสอนที่จะทําให้พ้นจากทุกข์ได้นั้น มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่มีในคําสอนอื่น ขณะที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจที่ถูกต้อง พร้อมทั้งมีการสนทนาธรรม เผยแพร่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้ผู้อื่นได้เข้าใจด้วย ก็ได้ชื่อว่าทําการสนับสนุนในพระศาสนานี้แล้ว เป็นการดํารงรักษาไว้ซึ่งพระธรรมคําสอน ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามข้อความจากพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จัณฑาลสูตร แสดงคุณสมบัติของผู้ที่เป็นชาวพุทธไว้ ๕ ประการ คือ เป็นผู้มีศรัทธา ๑ เป็นผู้มีศีล ๑ เป็นผู้ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรมไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ๑ ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ๑ ทําการสนับสนุนในศาสนานี้ ๑ (เรียบเรียงจาก เว็บไซด์ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. คติธรรมประจำสัปดาห์ ปีที่ 4 คำที่ 125) ... สาธุ
ท่านที่สนใจทางลัดหรือสนใจธรรมะสั้นๆ สำหรับระลึกถึงบ่อยๆ เนืองๆ นั้น ข้าพเจ้านึกถึงคำที่ท่านอาจารย์เมตตากล่าวสั้นๆ ว่า “ให้รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ คือ ธรรมะ” สิ่งทั้งปวงที่ปรากฏให้รู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง ปฎิเสธไม่ได้ แต่ต้องรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏนั้นๆ ว่าตาเห็นสี หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายรู้เย็น-ร้อน (ลักษณะของธาตุไฟ) หรืออ่อน-แข็ง (ลักษณะของธาตุดิน) หรือตึง-ไหว (ลักษณะของธาตุลม) และใจรู้อารมณ์ (วิญญาณขันธ์) – รู้สึก (เวทนาขันธ์) – จำได้ (สัญญาขันธ์) - นึกคิดเรื่องราวต่างๆ (สังขารขันธ์) วันก่อนข้าพเจ้าได้ยินท่านอาจารย์พูดว่า “ตั้งต้นที่ธรรมะและอนัตตา” และคุณนีน่า พูดว่า “ความสำคัญคือความเข้าใจที่ถูกต้อง ...ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละน้อยๆ” พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาถึง 4 อสงไขย แสนกัป คือนานจนนับไม่ได้ เพื่อตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแสดงธรรมที่ทรงตรัสรู้ แล้วเราจะไม่ยอมศึกษา เราจะไปเชื่อวิธีง่ายๆ นอกพระไตรปิฎก ที่ทำปุ๊บ ได้ผลปั๊บ รู้สึกสงบ เห็นโน่นเห็นนี่ บรรลุแล้ว ข้ามขั้นตอนของปริยัติ คือการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกเห็นถูก มุ่งปฏิบัติกันเลย อย่างนี้เรียกว่าไม่เชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎกเปรียบเสมือนแผนที่นำทางสู่ความดี ความเห็นถูก ความหลุดพ้นจากกิเลส และปรินิพพาน เป็นแผนที่ที่บอกรายละเอียดครอบคลุมทั้งทางตรง ทางอ้อมและทางลัดที่จะไม่ให้เราหลงทางได้เลย ถ้าไม่อดทน ที่จะพากเพียรศึกษาฟังพระธรรมให้เข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงแท้ของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่อดทนสะสมปัญญามากพอที่จะเป็นเหตุให้เกิดผล คือรู้แจ้งในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็วนเวียน เกิดแล้วตายๆ ไป เปล่าๆ จริงๆ
ขอเล่าเรื่องเป็นอุทาหรณ์ เพื่อชักชวนทุกท่านให้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่ผิวเผินอย่างข้าพเจ้า เรื่องที่หนึ่ง ข้าพเจ้าไปเกาะปันหยี ได้มีโอกาสคุยกับคุณลุงท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าพุทธศาสนานั้นดี แต่ท่านรู้สึกเสียใจที่พระพุทธเจ้าว่าศาสนาท่าน ว่าประพฤติเยี่ยงโคเยี่ยงสุนัข ข้าพเจ้าแบ๊ะๆ พูดไม่ออก อึ้ง เมื่อได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าคุณลุงท่านเข้าใจผิด แต่ก็มิอาจกลับไปแก้ไข ต้องขอประทานโทษคุณลุง พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อเกื้อกูลบุคคลต่างๆ ให้เกิดความรู้ถูกเข้าใจถูกเห็นถูก มิได้ทรงกล่าวมุ่งร้ายศาสนาลัทธิใดทั้งสิ้น
ในสมัยพุทธกาลมีผู้ประพฤติเหมือนโคเหมือนสุนัขโดยมีความเห็นผิดคิดว่าได้กระทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยาก เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา พระพุทธองค์ทรงแสดงว่าคติของผู้เห็นผิดมี 2 อย่างคือ นรกหรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง การประพฤติตามผู้ใด เมื่อตายไปก็จะไปเกิดเป็นสหายของผู้ประพฤติเช่นนั้น (โปรดอ่านรายละเอียดใน กุกกุรวติกสูตร เรื่อง ปุณณโกลิยบุตรและเสนิยะอเจละ จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 13 พระบาลีสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์)
เรื่องที่สอง เรื่องนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั่น คือเพื่อนชาวมาเลย์คนหนึ่ง ถามข้าพเจ้าว่ากามสูตรเป็นของศาสนาพุทธหรือ ข้าพเจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับกาลามสูตร และกามสูตร แบบสับสน ปนเป มั่วๆ ก็เลยทำเป็นผู้รู้ พยักหน้าว่าใช่ เมื่อได้ศึกษาธรรมะแล้วจึงรู้ว่า กาลามสูตร คือเกสปุตตสูตร ว่าด้วยวิธีพิจารณาก่อนจะเชื่อ ส่วนกามสูตรของอินเดีย ว่าด้วยเรื่องความรักต่างๆ ซึ่งสูตรนี้ก็มีภายหลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วกว่าห้าร้อยปี
ใน เกสปุตตสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมในเรื่องวิธีพิจารณาก่อนจะเชื่อ แก่ชาวกาลามะ ที่มักเรียกติดปากว่า กาลามสูตร ว่า ...ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้ อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตัว อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศลธรรม เหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย... สาธุ โปรดอ่านเพิ่มเติมได้ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต เกสปุตตสูตร จากเว็บไซด์ 84000.org
ข้าพเจ้านำพระสูตรนี้มายืนยันว่าสัมมาสมาธิหรือสมาธิที่ถูกต้องจะต้องมีสติปัฎฐานประกอบด้วย อีกพระสูตรหนึ่ง สำหรับให้ท่านได้ลองพิจารณาว่า ธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส 44 ประการต่อไปนี้ ท่านได้ขัดเกลาไปบ้างแล้วหรือยัง
หมายเลขไอพี : 184.22.44.xxx
โพสเมื่อ : July 23, 2020 เวลา 23:22:18