จันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2556 (พาราณสี)
พูดในใจ - หยุดพูดในใจ - รู้ขณะนี้
รับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็ไปมูลคันธกุฎีมหาวิหาร สารนาถ ระหว่างที่กำลังรอความพร้อมเพื่อกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ท่านอาจารย์และคณะวิทยากรได้สนทนาธรรม พอจดได้ดังนี้
ไม่ประมาท ขณะที่ได้ยินพระพุทธพจน์ มีสัญญา (ความจำ) ในธรรมะของพระพุทธองค์อย่างลึกซึ้งว่า ธรรมะเกิดขึ้นปรากฏแล้วดับไป การเข้าใจในธรรมะ ต้องเข้าใจในภาษาของตนๆ
ปฐมวาจา เราได้พบนายช่างเรือนผู้สร้างเรือน (ตัณหา โลภะ) ยากแสนยาก ที่จะเข้าใจว่าทุกสิ่งปรากฏเกิดขึ้นแล้วดับไป ธรรมะที่ทรงแสดง อุปการะไม่ให้เราเข้าใจผิด
มัชฌิมพุทธพจน์ ก็ลึกซึ้ง ถ้าไม่มีธาตุรู้ เสียงที่ได้ยินก็รู้ไม่ได้ การดับของธาตุรู้ขณะก่อน คือ จิต เป็นเหตุให้จิตขณะต่อไปเกิด
- สิ่งที่มีจริง ไม่ได้เกิดตามที่ใครต้องการ จึงเป็นอนัตตา
- ดังนั้น ได้ยิน คำไหน ขอให้เข้าใจคำนั้นในภาษาไทย
- ทุกคนเป็นที่รวมของธาตุแข็ง ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่มีใครเข้าใจได้ ทุกอย่างเป็นธรรมะ อย่าประมาท
- สภาพธรรมทั้งหลาย ยังอยู่ในความมืด ไม่ปรากฏได้ ถ้าไม่รู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ไม่ใช่ด้วยการเร่งรีบ ที่จะละอกุศลที่เกิดขึ้น แต่ต้อง อบรมเจริญปัญญา ไปเรื่อยๆ ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก จนสามารถละคลายกิเลสได้ ... การศึกษาธรรมะ จำเป็นต้องพึ่งผู้รู้ภาษาบาลี ที่เข้าใจอรรถกถา (คำอธิบายเนื้อความ ขยายข้อความพระไตรปิฎก)
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสฟังธรรมด้วยความเคารพ การฟังแต่ละครั้ง ควรระลึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ ทุกคนที่อยู่ที่นี้ จะเห็นความหลากหลายของรูปธาตุ ค่อยๆ ฟัง แล้วค่อยๆ เข้าใจว่า เห็นมี สิ่งที่ถูกเห็นมี
หลงลืม เมื่อไม่เข้าใจธรรมะ ถ้าเข้าใจธรรมะ แล้วจะหลงลืมสติได้อย่างไร
ถ้าไม่มีอะไรเลย จะมีโลกได้ไหมคะ ถ้ามีปัจจัยให้สิ่งใดเกิดแล้วดับ ก็มีโลก แต่ไม่ใช่มีสิ่งเดียว มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมายหลายอย่าง
นับวันพระธรรมจะค่อยๆ อันตรธาน ตามความเข้าใจถูกเห็นถูก ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ เป็นผู้ได้สะสมบุญมาแต่ชาติปางก่อน จึงได้มีโอกาสฟังธรรม
อกุศลทั้งหลาย แม้เพียงเล็กน้อยไม่ได้นำประโยชน์มาให้ (ส่วนกุศล ให้ผลตรงข้าม คือ นำประโยชน์มาให้)
ทำไมคนเรา คิดต่างกัน ประพฤติต่างกัน เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา
ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า ธรรมะที่ปรากฏ เกิดขึ้นแล้ว ดับไปแล้ว ทุกอย่างไม่ต้องหวัง เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา สาธุ
หลังจากกราบพระบรมสารีริกธาตุซึ่งบรรจุอยู่ภายในพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรตด้วยความปีติ ข้าพเจ้ามานึกย้อนหลังว่า เมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบพระบรมสารีริกธาตุในครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้ามีความสนใจมีความปีติปลื้มใจกว่าในครั้งต่อๆ มามาก แม้การได้กราบพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุพระอัครสาวกทั้งสองนั้นเป็นมงคลยิ่ง แต่ความเคยชิน หรือการเสพจนคุ้น เมื่อไม่มีการพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) สติไม่เกิดก็จะหลุดไปทางอกุศลได้ง่าย และโอกาสกุศลจะเจริญขึ้นก็ลดน้อยลง
สิ่งที่ปรากฏให้รับรู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ เมื่อสิ่งใดปรากฏบ่อยขึ้น ก็คุ้นขึ้น เคยชินมากขึ้น หากไม่พิจารณาหรือไม่มีสติระลึกรู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงในขณะที่เสพหรือรับรู้ได้แล้ว ประโยชน์คือปัญญา จะเกิดได้น้อยมาก แต่โทษคือกิเลส จะได้ช่องเติบโตจนติดข้องต้องการเพลิดเพลินไปกันใหญ่ สมดังพระพุทธดำรัสที่ว่า “สติ จำปรารถนาในที่ทั้งปวง”
จากนั้นเรามาที่โรงฉันของมหาโพธิสมาคม ที่สารนาถ พาราณสี วันนี้มีถวายย่ามและภัตตาหารเพลพระเณรประมาณร้อยกว่าองค์ ผู้ที่ถวายที่พุทธคยาแล้วจึงนั่งรอตรงลานนั่งเล่นหน้าโรงฉัน ข้าพเจ้าชวนน้องวิภาพรไปร่วมอนุโมทนาในการถวายเพลและย่ามแล้ว ก็ออกมาเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก แล้วมานั่งใกล้ๆ คุณลุงศุกล
ข้าพเจ้าชวนคุณลุงคุยด้วยเรื่องสุขภาพของท่าน แล้วเล่าให้ท่านฟังว่า ข้าพเจ้าเพิ่งจะรู้ว่าคนเรานั้นพูดทั้งวัน มีพูดเป็นเสียงเปล่งออกมาบ้าง พูดในใจบ้าง ท่านถามว่า ข้าพเจ้าเคยเล่าเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์ฟังหรือไม่ ข้าพเจ้าตอบว่าเคย เมื่อท่านถามว่า ท่านอาจารย์พูดว่าอย่างไร ข้าพเจ้าหยุดทบทวนความจำ แล้วอ้ำๆ อึ้งๆ รู้แต่ว่าฟังแล้วรื่นหูปลื้มใจ ส่วนท่านพูดอะไรก็ลืมเกือบหมดแล้ว ในที่สุดข้าพเจ้าก็คั้นเอาความจำมาได้เพียงว่า ท่านอาจารย์กล่าวว่า “ธรรมะนั้นละเอียด และลึกซึ้ง” และยังไม่ทันจะคุยกันต่อ คณะที่ถวายเพลก็ออกมากันแล้ว จึงจำต้องยุติไว้เพียงนั้น
เรากลับมารับประทานอาหารที่โรงแรม อาหารที่โรงแรมก็อร่อยเช่นเคย มีรายการอาหารที่ทำให้สงสัยอยู่รายการหนึ่ง คือ วันแรกติดป้ายไว้ว่า มัทเทิน (Mutton) อีกวันติดป้ายว่า แลมบ์ (Lamb) ก็เป็นเนื้อแกะแต่ทำไมเรียกต่างกัน จึงต้องค้นหาตามประสาคนอยากรู้คำตอบในทุกเรื่องราว ซึ่งเป็นอุปนิสัย (อุปนิสสย คือ ที่อาศัยที่มีกำลัง ที่จะทำให้เกิดการกระทำดี ร้าย หรือไม่ดีไม่ร้ายต่างๆ ต่อไปได้) เป็นสภาพธรรมที่สะสมมานาน อาจารย์กูเกิลช่วยหาให้ว่า แลมบ์ เป็นเนื้อลูกแกะอายุไม่เกิน 1 ปี ส่วนเนื้อแกะที่โตเต็มวัยแล้วเรียก มัทเทิน และยังมีเนื้อแกะที่อายุกลางๆ เรียก ฮอกเก็ต (hogget) มิน่าเนื้อเหนียวผิดกัน ... ยิ่งแก่ก็ยิ่งเหนียว หวนนึกถึงสักกายทิฏฐิ ความยึดมั่นว่าเป็นตัวตน ซึ่งมีมากขึ้นตามวัย ถ้าไม่มีปัญญาช่วยละคลาย ความยึดมั่นก็จะติดตัวติดตนจนเหนียวหนึบแกะไม่ออกเหมือนเนื้อแกะ
ภายหลังอาหารเที่ยง พักผ่อนกันหน่อยแล้วบ่ายแก่ๆ แดดร่มลมตกจึงค่อยไปกราบธัมเมกขสถูป สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนา ข้าพเจ้าขึ้นไปที่ห้องพักและไปทดลองใช้ปลั๊กไฟ ตามกรรมวิธีที่คุณสุวิทย์แนะนำ คือ เอาดินสอที่โรงแรมวางไว้ให้คู่กับสมุดโน้ต มาเสียบในรูที่สามเพื่อให้สายดินทำงาน แล้วเอาที่เสียบแบตเตอรี่วิทยุเสียบลงไป ปรากฏว่าใช้ได้ ดีใจคืนนี้มีวิทยุฟังธรรมะ ข้าพเจ้ายังคงแวะร้านขายนกแก้ว แทบทุกครั้งที่ไปห้องอาหาร ก็ต่อราคา วนเวียนอยู่อย่างนั้น บางทีก็มีพี่หมูมีน้องวิภาพร พี่ๆ น้องๆ ท่านอื่นๆ มาช่วยต่อราคาให้ คือมีจิตคิดจะช่วยอุดหนุน แต่ยังไม่มีเหตุปัจจัยถึงพร้อมที่จะให้จ่ายสตางค์ พอคิดจะจ่าย ยื่นเงินให้ลูกสาวแล้ว 600 บาท ปรากฏว่า พ่อห่อนกไม่ดี ทำสีหลุด ข้าพเจ้าเลยให้เขาไปซ่อมให้ใหม่หรือเอาตัวใหม่ก็ได้ ก็ซ่อมไม่ได้เรื่อง แถมบอกว่า สีหลุดนี่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นสีหุ้มเงินซึ่งมีค่ามากกว่า ก็มองต่างมุมระหว่างไทยกับแขก จึงยังไม่ตกลงใจ
ที่ธัมเมกขสถูป มีท่านหนึ่งนำผ้าไปปูให้ท่านอาจารย์ได้กราบ ท่านอาจารย์กราบเสร็จแล้วก็บอกให้ทุกคนทยอยกันไปกราบบนผ้าที่ปูไว้ สาธุ ข้าพเจ้ามักง่าย จึงยืนกราบอยู่แถวนั้น น้องเต้ยและอีกหลายท่านนำผ้าปักเลื่อมสีเงินห่มรอบฐานพระสถูปเพื่อบูชาคุณพระรัตนตรัย เมื่อทุกคนพร้อมแล้วจึงเริ่มเวียนเทียนกัน จากนั้นเราเดินกันไปที่มูลคันธกุฎีมหาวิหาร ที่อยู่ใกล้ๆ เวียนเทียนรอบพระมูลคันธกุฎีฯ แล้ววางโคมแก้วรอบต้นโพธิ์ลังกา ซึ่งมีพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบันและในอนาคตคือ พระศรีอริยเมตไตรย์ จริงๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้มีแค่นี้ ยังมีอีกไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฎฎ์ มีกิเลส กรรม วิบาก ให้เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ ปีนี้ข้าพเจ้าวางโคมแก้วบูชาไว้ด้านหน้าพระพุทธรูปพระนามว่าสิทธัตถะ จึงขอคัดพุทธประวัติ จากพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก สิทธัตถพุทธวงศ์ที่ ๑๖ ว่าด้วยพระประวัติพระสิทธัตถพุทธเจ้า ในเว็บไซต์ 84000.org มาดังนี้
ระหว่างรอคิวตักอาหาร คุณลุงศุกลถามข้าพเจ้าว่า ที่พูดในใจ คือ นึกคิดเรื่องราวใช่ไหม ข้าพเจ้าตอบว่า ใช่ค่ะ แล้วการสนทนาก็ต้องยุติลงอีก .. เฮ้อ คันปาก ข้าพเจ้าขอรำพึงต่อตามประสาคนฟุ้งซ่านเป็นอาจิณ ข้าพเจ้าสังเกตว่า เมื่อ “ข้าพเจ้า” (ยังเป็นตัวตนอยู่ ยังเป็น “เรา” อยู่) หยุดพูดในใจนั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่รับรู้สิ่งใดๆ ได้อีก ก็ยังรู้ ยังคิดได้ แต่ไม่มีคำ ไม่มีชื่อหรือสมมติบัญญัติ มีแต่ลักษณะของสภาพธรรมปรากฏเงียบๆ บางครั้งก็เหมือนนิ่งงันไป ด้วยโมหะ เพราะพยายามไปบังคับไม่ให้นึกคิดเป็นคำ จึงนิ่งงันไปไม่รู้อะไร ธรรมะปรากฏตามเหตุปัจจัยขณะนั้น ในชีวิตประจำวัน เมื่อเวลาสติเกิด (จะบังคับให้สติเกิดขึ้นบ่อยๆ นานๆ ตามใจคิดหวังก็ไม่ได้) จึงมีทั้งที่พูดในใจ คือนึกคิดเรื่องราวเป็นคำๆ ตามการจำเสียงและความหมายของเสียงเหล่านั้นได้ เช่น เห็นเป็นนาม สีเป็นรูป เป็นต้น และบางครั้งก็ไม่มีการพูดในใจ ไม่มีคำพูด ไม่มีชื่อ แต่รู้ได้คิดได้เช่นกัน
ซึ่งปกติแล้ว สติแบบนี้ไม่ค่อยเกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นก็รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ตามปัญญาที่มีในขณะนั้นๆ ปัญญาน้อย ก็รู้ตื้นๆ ปัญญามากขึ้น (มีความรู้ความเข้าใจในธรรมะมากขึ้น) ก็รู้ละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น รวดเร็วขึ้น สติที่เกิดขณะพูดในใจก็เป็นสติขั้นนึกคิดเรื่องราว สติที่เกิดขณะไม่ได้พูดในใจก็เป็นสติขั้นสติปัฎฐานที่เริ่มรู้เริ่มเข้าใจลักษณะธรรมะที่ปรากฏตามความเป็นจริงมากขึ้น สติปัฎฐานจะส่งเสริมให้วิปัสสนา (ปัญญาที่รู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริง) ค่อยๆ เจริญขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนประจักษ์แจ้งลักษณะรูปธรรม นามธรรม ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ (ทนอยู่ได้ยาก เกิดขึ้นแล้วดับไป) เป็นอนัตตา ในสภาพธรรมตามความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์ หลุดพ้นจากความยึดมั่นในขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จากตัณหาและอวิชชาได้ในที่สุด
ในชีวิตประจำวัน สติหรือสติปัฎฐาน (เบื้องต้น) อาจเกิดขึ้นได้ ในขณะใดขณะหนึ่ง ดังตัวอย่างนี้
เมื่อกาแฟร้อนแก้วหนึ่ง ถูกนำมาวางอยู่ตรงหน้า ตาเห็นถ้วยกาแฟ หูได้ยินเสียงถ้วยกาแฟกระทบโต๊ะ จมูกได้กลิ่นหอมของกาแฟ มือแตะถ้วยกาแฟยกดื่ม ลิ้นลิ้มรสกาแฟ ใจรู้สึกเป็นสุข พอใจติดใจในรสกาแฟ
ถ้าสติหรือสติปัฏฐานไม่เกิด ก็เพลิดเพลินไป จนกาแฟหมดแก้ว ก็ไม่ได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงใดๆ
ถ้าสติหรือสติปัฏฐานเกิด จะเกิดขณะไหน จะเกิดนานเท่าไร จะรู้ลักษณะสภาพธรรมอะไร ไม่มีใครกำหนดหรือบังคับให้เกิดได้ (ย้ำอีกครั้ง) แม้ธรรมะจะเกิดขึ้นมากมายหลายอย่างสลับกันไประหว่างดื่มกาแฟ แต่จิตก็รู้ธรรมะที่ปรากฏเหล่านั้นได้เพียงขณะละหนึ่งลักษณะเท่านั้น ไม่ปนเปรวมกันไปเป็น “เรา” “กาแฟของเรา” “เราดื่มกาแฟ”
สติอาจเกิดขึ้นระลึก รำพึง (พูดในใจ) ว่า สภาพธรรมเหล่านี้ เป็นการสะสมอกุศลกรรม สะสมโลภะ ที่จะเป็นอุปนิสัยในอนาคต เพราะกาแฟเป็นเครื่องดื่มเพื่อความเพลิดเพลิน ไม่ใช่เครื่องดื่มเพื่อการยังชีพอย่างน้ำสะอาด หรืออาจนึกว่า รสกาแฟปรากฏลักษณะรสต่างๆ ประกอบกัน มีรสขม รสหวาน รสมัน หรืออาจนึกถึงการเกิดดับที่ปรากฏ...
ขณะมือ (กาย) แตะถ้วยกาแฟ สติปัฏฐานอาจเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมของธาตุดิน ซึ่งปรากฏลักษณะแข็ง หรืออาจเกิดขึ้นรู้ลักษณะธาตุไฟ ซึ่งปรากฏลักษณะร้อน หรืออาจรู้ลักษณะของความจำสิ่งที่กระทบได้
ขณะดื่มกาแฟ สติปัฏฐานอาจเกิดขึ้นรู้ลักษณะของรสที่ปรากฏ รสเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร (ไม่มีความรู้สึกนึกคิดหรือรู้อารมณ์ใดๆ) คือลักษณะของรูปธรรม หรืออาจระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมที่รู้รส เป็นลักษณะของนามธรรม
รู้สึกเป็นสุข สติปัฏฐานอาจเกิดขึ้นรู้ลักษณะสภาพธรรมของโสมนัสเวทนา คือความรู้สึกแช่มชื่น สุขใจ (กาแฟเป็นอารมณ์ที่พอใจ) หรืออาจรู้ลักษณะของความสุขกาย (กาแฟอุ่นๆ) ที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งเป็นลักษณะของสุขเวทนา
ชอบใจเพลิดเพลินอร่อยขณะดื่ม สติปัฏฐานอาจเกิดขึ้นรู้ลักษณะของสังขารขันธ์ (นึกคิด ปรุงแต่ง) ซึ่งปรากฏลักษณะความติดข้องเพลิดเพลินในอารมณ์ (อารมณ์คือรสกาแฟ) ซึ่งเป็นลักษณะของโลภะ ของนามธรรม ฯลฯ
*อย่าลืม* ถ้าหากว่า การเจริญภาวนา (สติ สติปัฏฐาน สมถหรือวิปัสสนา) ทำให้เครียด อึดอัด ผิดปกติหรือสงสัยในพระธรรม แสดงว่า ผิด ต้องกลับไปศึกษา ทบทวน หรือสอบทานกับท่านผู้รู้ เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขให้ถูกต้อง
*อย่าลืม* การเจริญปัญญา ต้องใช้เวลา ยาวนานนนนนน มากกกกกก ต้องอดทนสะสมความเห็นถูก เข้าใจถูก ทุกขณะที่สติเกิด จะเอาให้ได้ดังใจ เอาให้ได้เร็วๆ อยาก ต้องการ เป็นโลภะ เป็นกิเลส เราทำได้ ไม่ใช่ปัญญา
หลังอาหารค่ำ คณะทั้งหมดมาประชุมสังสรรค์กัน ดร.วีระ เล่าให้ทุกคนฟังถึงความยากลำบากในการนำเครื่องสักการะต่างๆ เข้าประเทศอินเดีย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี อาจารย์พีรพล เล่าเรื่องขำๆ ระหว่างทาง ข้าพเจ้าอยู่ฟังไม่จบ เพราะเริ่มมีอาการเจ็บหลังมากขึ้น แถมเมื่อคืนนอนหลับๆ ตื่นๆ จึงหลบขึ้นมาพักก่อน เมื่อน้องใหญ่กลับมา ก็เล่าว่าน้องธนากรเล่าเรื่องแปลกๆ ในห้องพักให้ฟัง น้องใหญ่คิดจะไปนอนเป็นเพื่อนลูกชาย แต่ลูกชายบอกไม่เป็นไร ส่วนข้าพเจ้ามโนตามไปแล้ว ยอมแสดงความเห็นแก่ตัว บอกน้องใหญ่นอนเป็นเพื่อนพี่เถิด พี่ก็กลัวผี น้องใหญ่เห็นใจเลยไม่ไปนอนกับลูก ลูกชายน้องมีความเจริญก้าวหน้าทางปัญญามากขึ้นจนลดการกลัวผีที่เคยมีลงได้ สาธุ แต่คนที่ยังคงเส้นคงวากับผี นี่สิ คือข้าพเจ้า ที่ยังอ่อนซ้อม ยังประมาทในพระธรรมอยู่มาก
และเมื่อกลับมาคิดทบทวนเหตุการณ์ ตามประสาคนวิตกจริตว่าเสียงอึกทึกจากท่อต่างๆ ในห้องน้ำที่ได้ยินดังผิดสังเกต ขณะที่คนอื่นไม่ได้ยิน หรือไม่รู้สึกผิดแปลกประการใด แถมตอนกลางวันที่อยู่คนเดียวในห้อง ก็ยังมีเสียงน้ำไหลโครกๆ ตามท่อในผนังข้างหลังทีวี ซึ่งอยู่กลางห้อง ตอนได้ยินก็สงสัยว่ามันท่ออะไรของแขกนะ แปลกดี แต่ว่าตอนนี้ ขอฟันธงว่าเป็นเสียงญาติหรือมิตรรักแฟนเพลงที่มีกายละเอียดจนมองไม่เห็นมาทำเสียงทักทายกัน เที่ยวนี้โทสะที่เกิดไม่ใช่กลัวผี แต่เป็นความรำคาญเสียงอึกทึก