ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี
       
   สมัครสมาชิก   เข้าสู่ระบบ
 

 

รวมลิ้งค์ เว็บไซต์ธรรมะ ที่น่าสนใจ
สำนักพิมพ์ต้นบุญ สำนักพิมพ์ต้นบุญ
สำนักปฏิบัติธรรม มณีตรัยรัตน์ สำนักปฏิบัติธรรม มณีตรัยรัตน์
บ้านธัมมะ (มูลนิธิศึกษา และเผยแพร่พระพุทธศาสนา) บ้านธัมมะ (มูลนิธิศึกษา และเผยแพร่พระพุทธศาสนา)
สถานีธรรมะ ท่าน ว.วชิรเมธี สถานีธรรมะ ท่าน ว.วชิรเมธี
หนังสือทำบุญ หนังสือทำบุญ
เว็บแสงประกาย เว็บแสงประกาย
Palungjit (พลังจิต) Palungjit (พลังจิต)
ดาวน์โหลดเสียงธรรม ธะธรรมชาติ ดาวน์โหลดเสียงธรรม ธะธรรมชาติ
ธรรมะดิลิเวอรี่ ส่งถึงที่ ซึ้งถึงใจ ธรรมะดิลิเวอรี่ ส่งถึงที่ ซึ้งถึงใจ
ธรรมดาดอทเน็ต (ความเรียบง่าย คือธรรมะ) ธรรมดาดอทเน็ต (ความเรียบง่าย คือธรรมะ)

(ดูลิ้งค์เพิ่มเติม)
  THAIWARE Dharma | รายละเอียด บทความ บทสวด บทคาถา ธรรมะ
เลือกขนาดตัวอักษร ขนาดตัวอักษร :  ก   ก   ก   ก 

สิ่งทั้งปวงเป็นธรรมะ (ปีที่ 2 ตอน 6) รู้สภาพธรรมโดยไม่ต้องใช้คำประกอบ การฟังธรรมเป็นมงคล

 

    Share  
 

 

 


ศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2555 (สาวัตถี - โกลกาตา)
กราบขอบพระคุณท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐ๊
รู้สภาพธรรมโดยไม่ต้องใช้คำประกอบ การฟังธรรมเป็นมงคล
 
ตอนเช้าไปบ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ข้าพเจ้าตั้งใจเอาเทียนปลอมขึ้นไปจุดเพื่อจะไปกราบขอบพระคุณท่านอนาถบิณฑิกสักหน่อย เดินขึ้นไปเจอผู้หญิงแขกมีอายุ พยายามจะเดินข้ามทางแคบๆ ระหว่างหลุมเก็บสมบัติของท่านเศรษฐี ดูแล้วเสียวไส้ว่าจะหล่นลงไป ข้าพเจ้าจึงช่วยประคองตัวคุณน้าไว้ด้านหลัง พอข้ามพ้นปุ๊บ คุณน้ายื่นมือไปปั๊บ จับหมับที่มือพระแขก ซึ่งกำลังยืนบรรยายให้ญาติโยมฟัง ข้าพเจ้าตะลึงไปนิดหนึ่ง พระท่านก็จับมือคุณน้าเพื่อช่วยพยุงตัวขึ้น คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหน้าใกล้ๆพระ ก็ช่วยพยุงคุณน้าให้ขึ้นไปบนลานอิฐ แต่คุณน้าก็สะดุดเข่ากระแทกพื้นหิน  ข้าพเจ้ามานึกเล่นในภายหลังว่า เทวดาอารักษ์ท่านคงเคร่งในพระธรรมวินัย จับมือพระต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ท่านเลยเตือนเบาๆ แต่คุณน้าจะทราบหรือไม่ ข้าพเจ้าส่งคุณน้าพ้นทางแล้ว ก็ไปต่อยังยอดปราสาท ข้าพเจ้าจุดเทียนปลอมพร้อมพนมมือตั้งจิตขอบพระคุณท่าน ที่สร้างวัดพระเชตวันมหาวิหาร และเป็นผู้อาราธนาให้พระภิกษุแสดงพระอภิธรรมให้อุบาสกอุบาสิกาได้ฟังด้วย ในคราวที่ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์ไปเยี่ยมท่านขณะป่วยหนักใกล้สิ้นชีวิต ข้าพเจ้าขอคัดลอกบางส่วนของเหตุการณ์วันนั้น มาไว้ ณ ที่นี้เพื่อกราบระลึกถึงพระคุณ และขอบพระคุณท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีอย่างสูง ดังนี้
 
[๗๓๖] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่าอารมณ์ใดที่เราได้เห็น ได้ฟัง ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง ได้แสวงหา ได้พิจารณาด้วยใจแล้ว เราจักไม่ยึดมั่นอารมณ์แม้นั้น และวิญญาณที่อาศัยอารมณ์นั้นจักไม่มีแก่เรา ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด ฯ
 
[๗๓๗] เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวแล้วอย่างนี้ อนาถบิณฑิกคฤหบดีร้องไห้ น้ำตาไหล ขณะนั้นท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะอนาถบิณฑิกคฤหบดีดังนี้ว่า ดูกรคฤหบดี ท่านยังอาลัยใจจดใจจ่ออยู่หรือ ฯ 
 
อ. ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ กระผมมิได้อาลัย มิได้ใจจดใจจ่อ แต่ว่ากระผมได้นั่งใกล้พระศาสดาและหมู่ภิกษุที่น่าเจริญใจมาแล้วนาน ไม่เคยได้สดับธรรมีกถาเห็นปานนี้ ฯ
อา. ดูกรคฤหบดี ธรรมีกถาเห็นปานนี้ มิได้แจ่มแจ้งแก่คฤหัสถ์ผู้นุ่งผ้าขาวแต่แจ่มแจ้งแก่บรรพชิต ฯ
 
อ. ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอธรรมีกถาเห็นปานนี้ จงแจ่มแจ้งแก่คฤหัสถ์ผู้นุ่งผ้าขาวบ้างเถิด เพราะมีกุลบุตรผู้เกิดมามีกิเลสธุลีในดวงตาน้อย จะเสื่อมคลายจากธรรม จะเป็นผู้ไม่รู้ธรรม โดยมิได้สดับ ฯ
 
ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์กล่าวสอนอนาถบิณฑิกคฤหบดีด้วยโอวาทนี้แล้ว จึงลุกจากอาสนะหลีกไป ฯ (จาก อนาถปิณฑิโกวาทสูตร ที่ ๑ เนื้อความพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๑๔  บรรทัดที่ ๙๓๑๑ - ๙๕๒๔.  หน้าที่  ๓๙๔ – ๔๐๒  และขอขอบคุณ DhammaPerfect@yahoo.com)
 
ข้าพเจ้าขออนุญาตอธิบายคำว่า คฤหัสถ์ผู้นุ่งผ้าขาว สักเล็กน้อย คฤหัสถ์ผู้นุ่งผ้าขาว ในที่นี้หมายถึง ฆราวาส หรือ อุบาสก อุบาสิกา นั่นเอง ซึ่งสามารถหาผ้าขาว ผ้าใหม่ นำมาย้อมเป็นสีต่างๆ นุ่งห่มได้ ส่วนพระภิกษุจะนุ่งผ้าเก่าที่หาได้จากซากศพหรือที่เขาทิ้งแล้ว มาย้อมเป็นสีกลัก หรือสีเหลือง เพื่อใช้นุ่งห่ม ในเมืองไทยและศรีลังกา คุณแม่ชี คือ อุบาสิกาที่โกนผม ถือศีลอยู่วัด นิยมนุ่งห่มขาว ส่วนเมืองเมียนมาร์ คุณแม่ชีนิยมนุ่งห่มสีชมพู เมืองอื่นๆ ก็ใช้สีเทา สีกลัก สีต่างๆ แล้วแต่นิยม สีที่ใช้ไม่ได้เป็นตัววัดความดีของผู้ใส่ กุศลกรรมพอวัดได้ แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนกุศลจิตและจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง คือความดีร้อยเปอร์เซ็นต์แต่วัดไม่ได้ เพราะเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน

ขณะกำลังเดินลงกระไดบ้านท่านเศรษฐี แขกคนเดิมที่ขอรับเงินบริจาคสร้างโรงเรียน ในวัดพระเชตวันเมื่อวาน ก็เดินตามมาขอเงินอีก จึงบอกว่าให้แล้ว และขอดูรูปสถานที่ที่เขาว่าจะสร้างโรงเรียน แขกเอารูปให้ดู เป็นรูปถ่ายที่วัดพระเชตวัน ไม่ใช่สถานที่ก่อสร้าง งานนี้ถ้าแขกกับไทยพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็คงมาอีหรอบเดียวกับแถวบ้านนางสุชาดาคือแขกหลอกไทย ข้าพเจ้าเลยเดินต่อไปยังบ้านท่านบิดาของพระองคุลิมาน อุโมงค์ใต้บ้านที่ผู้คนชอบไปเดินลอดเอาเคล็ดเอาโชคลาภกัน ปัจจุบันเขาปิดไม่ให้เดินลอดไปแล้ว เพราะอันตรายทั้งจากบ้านท่านบิดาอาจถล่ม ทั้งจากงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่อาจมีเหตุปัจจัยให้ได้เจอกัน และทั้งจากความคับแคบของอุโมงค์บางช่วงที่ผู้มีอันจะกินบางท่านไม่สามารถผ่านได้ ภายหลังเมื่อกลับมาเมืองไทยแล้ว ด้วยความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ยังค้างคาใจอยู่ จึงค้นข้อมูลทราบว่าพระอาจารย์อริยวังโสท่านมรณภาพแล้ว และพระอาจารย์ที่มีฉายาใกล้เคียงกันคือพระอาจารย์อารยวังโส วัดป่าพุทธพจน์ฯ จังหวัดลำพูน ก็ไม่มีข้อมูลว่าท่านจะสร้างโรงเรียนที่อินเดีย แต่ท่านไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดียแถวรัฐพิหาร รัฐมหาราษฎร์ และเนปาล สาธุข้าพเจ้าได้ทราบก็ปลื้มใจอนุโมทนากับพระอาจารย์ พระสงฆ์และชาวบ้านทั้งไทย อินเดีย เนปาล ก็ขอขอบคุณแขกคนนี้งานนี้อกุศลจิตเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดขึ้น

ระหว่างเดินทางไปลัคเนาว์ น้องเต้ยต่อมือถือให้ฟังธรรมจากพาราณสี ท่านอาจารย์ยินดีที่ได้ทราบว่า พวกเราได้ร่วมฟังธรรมด้วย ข้าพเจ้าส่งกระแสจิตถึงท่านอาจารย์ ขอให้พูดสิ่งที่ข้าพเจ้าควรรู้ควรเข้าใจด้วย แต่เสียงที่ฟังกระท่อนกระแท่นเพราะรถวิ่ง และรถก็แวะจอดให้เข้าทุ่งเก็บดอกไม้ มองกระต่ายด้วย ข้าพเจ้าพอจดบันทึกมาได้ดังนี้

รู้สภาพธรรม โดย ไม่ต้องใช้คำประกอบ

เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อจะรู้ทางทวาร 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เกิดมากิน นอน แล้วติดข้อง เพราะความไม่รู้ ประโยชน์ของการเกิด คือ ได้ทำความดี ศึกษาพระธรรมคำสอนที่ทรงตรัสรู้

ขันธ์ คือ สิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง แต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก ไม่ซ้ำเก่าด้วย

ขัดเกลาความไม่รู้ โดยมีความเห็นถูก เข้าใจถูก (ปัญญา) คำใดที่เป็นคำจริง คำเหล่านั้นเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้

โดยปกติ จิตเกิดพร้อมเจตสิกอีก 7 ประเภทเป็นอย่างน้อย (เจตสิกทั้ง 7 คือ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา มนสิการ เอกัคตา และชีวิตินทรีย์ ต้องเกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิตทุกครั้ง) แต่ละเจตสิกก็มีลักษณะเฉพาะ

ธรรมะ ถ้าไม่ไตร่ตรอง ให้เข้าใจจริงๆ จะไม่เห็นถูกต้อง ไม่มีสภาพธรรมใด ที่เกิดโดยลำพัง แต่เกิดพร้อมกัน

เมื่อมีสิ่งที่ปรากฏ ความจำในความหยาบ ความละเอียด ปรากฏเป็นนิมิตและอนุพยัญชนะ ของสภาพธรรมะอะไร (สภาพธรรมเกิดขึ้น) แต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่อันเดียวกัน

ในที่สุดก็มาถึงลัคเนาว์ กินข้าวที่ร้านแห่งหนึ่ง ข้างหน้าร้านสวยงามน่าชม แต่เขาให้ไปกินห้องเล็กๆ เฉพาะคณะของเรา อาหารไม่ค่อยถูกปาก ยกเว้นไอศกรีม ตักแกงเนื้อแกะมากินชิ้นหนึ่ง เนื้อเหนียวเกินความสามารถของฟัน กินไม่หมด ขอโทษนะคุณแกะ จากนั้นรีบไปสนามบิน อดไป Bara Imam Bara ที่อยากจะไป คุณกฤษณะบอกว่าสถานที่นี้อยู่เขตเมืองเก่า ต้องไปอีก 25 กม. ใช้เวลามาก อาจขึ้นเครื่องบินไม่ทัน เลยพาไปไม่ได้ ข้าพเจ้าโวยวายนิดหน่อย ตามประสาคนที่มีความอยากจะไปสถานที่ที่ไม่เคยไป พอไม่ได้ไปก็อดโวยวายเพื่อตนเองและผู้อื่นไม่ได้ น้องเต้ยปลอบใจว่า คราวหน้าจะพาไปชม ข้าพเจ้าขอบคุณน้องเต้ย ความจริงข้าพเจ้า คาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจจะอดไป เพราะการมาอินเดียแต่ละครั้งมักจะไม่ได้ชมสถานที่ต่างๆ ครบตามโปรแกรมที่แจกไว้ ถ้าอยากชมให้ครบ ก็ต้องมาอีกครั้ง ๆ ๆ แบบนี้ เพื่อจะได้ไปครบทุกที่ที่อยากไป ตอนหลังข้าพเจ้าใช้วิธีเปิดดูในเว็บไซด์ ได้ดูแล้ว ได้เห็นแล้ว ความอยากลดลง ไม่ขวนขวายอยากจะไปดูของจริงอย่างแต่ก่อน  ครั้งนี้ข้าพเจ้าเปิดเว็บไซด์ดูรูปมาก่อนแล้ว เมื่อดูแล้วก็ชื่นชมว่าสวยงามด้วยความใหญ่โตโอฬาร ด้วยสถาปัตยกรรม และการวางผังที่ตั้งที่เหมาะเจาะน่าถ่ายรูปมาก น่าไปเยี่ยมชมมากกว่าวิคตอเรีย เมมโมเรียล แต่แล้วก็คิดว่าใช้เวลาเดินชมคงจะนาน คงไม่มีเวลาพอ ถ้าได้ถ่ายรูปที่หน้าประตูก็พอใจแล้ว เมื่อมาถึงลัคเนาว์แล้วทราบว่าอดดู ก็เลยออกอาการนิดหน่อย ข้าพเจ้าทราบว่า มีบางท่านอยากไปบ้านท่านอนาถบิณฑิก ทำให้เวลาในโปรแกรมคลาดเคลื่อน เพราะเมื่อเช้าเราใช้เวลาไปแวะบ้านท่านอนาถบิณฑิกและบ้านท่านบิดาของพระองคุลิมาน แล้วแวะวัดไทยเชตวัน ที่อยู่ใกล้ๆ กับสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ควรไปสำหรับหลายๆท่านที่มาครั้งแรก จึงหมดเวลาและพลาดการชมมัสยิดใหญ่แห่งนี้ คราวนี้ไม่มีเหตุปัจจัยให้ได้มาชม ก็อดชม ข้าพเจ้าเผลอสติโวยวายบอกน้องเต้ยไปว่า ถ้าใครถามว่าทำไมไม่ได้ดูมัสยิด จะบอกว่าเพราะมีบางคนขอแวะบ้านท่านอนาถบิณฑิก น้องเต้ยพูดเสียงอ่อนๆ ว่า เอางั้นเลยหรือพี่ ข้าพเจ้าฟังแล้วสะดุดหูสะดุดใจรู้สึกสำนึกผิด จริงๆ ข้าพเจ้าลืมนึกถึงมัสยิดไปเลย ถ้าอยากไปมากจริงๆ ข้าพเจ้าจะจำได้ และจะคอยถามคอยเตือนหัวหน้าทีม ให้ควบคุมเวลา แต่นี่ ข้าพเจ้าก็ดีใจและเตรียมตัวที่จะได้ไปกราบขอบพระคุณท่านอนาถบิณฑิก ไม่ได้ทักท้วงอะไรเลย แล้วตอนนี้มาทำโวยวาย ก็น่าละอายจริงๆ ต้องขอโทษน้องเต้ยด้วย ขอสารภาพไว้ตรงนี้

ที่สนามบิน เงินยังเหลือเลยซื้อลูกแอปริคอตแห้งของลัคเนาว์ และลูกสน (Pines) จากอัฟกานิสถาน มาลองชิมดู ลูกแอปริคอตแห้งสีเหลืองซีดๆตอนแรกคิดว่าเป็นลูกมะเดื่อฝรั่ง (หรือลูกฟิกซ์ - Figs) ลักษณะคล้ายลูกบ๊วยเพราะอยู่ในตระกูลเดียวกัน รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ทานเพลิน ส่วนลูกสน รูปร่างเรียวๆ คล้ายเมล็ดข้าว รสชาติมันๆ ก็อร่อยดี แต่มีกลิ่นแปลกๆ ไม่ทราบว่ากลิ่นลูกสน หรือกลิ่นแขก เที่ยวนี้เครื่องบินจะบินจากลัคเนาว์ เมืองหลวงรัฐอุตตรประเทศ แวะปัฎนะ เมืองหลวงรัฐพิหาร รับส่งผู้โดยสารก่อนไปโกลกาตา เมืองหลวงรัฐเบงกอลตะวันตก ขึ้นไปได้ไม่นาน มีเสียงประกาศเรียกหมอ โชคดีคุณหมอไทยไม่ทันได้ลุกไป คุณหมออินเดียลุกไปก่อน เพราะในที่สุด คนไข้ตาย คณะเราได้อุทิศส่วนกุศลให้ เขาเอาศพลงที่ปัฎนะ ทำได้เงียบเชียบเรียบร้อยดี มาทราบทีหลังว่าคุณน้าผู้หญิงผู้ตายเป็นโรคหัวใจ หลังจากเสร็จงานแต่งงานญาติ ก็อยากเดินทางกลับโดยรถไฟ แต่ลูกชายชวนขึ้นเครื่องบิน จึงมาเกิดเรื่องขึ้น พวกเราคุยกันถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอดพูดไม่ได้ว่าถ้าไปรถไฟก็คงไม่ตาย พี่หมูบอกว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย ข้าพเจ้าจะเถียงแต่ชะงักเพราะได้สติ จึงทบทวนเรื่องปัจจัย ช่วงนี้ชาวฮินดูแต่งงานกันเยอะ ที่สนามบิน แขกแต่งตัวกันสวยๆ ทั้งหญิงทั้งชาย ถือดอกกุหลาบยืนรอรับใคร ถามไกด์ ทราบว่า รอคู่บ่าวสาว ที่อินเดียนี้เขาจะให้ความสำคัญกับการแต่งงานมากกว่าการตาย ถ้าแต่งงาน พิธีการเยอะมาก ต้องแห่เจ้าบ่าว ไปรับเจ้าสาว เป็นขบวนยาว เครื่องตกแต่งขบวนเจ้าบ่าวอลังการเหมือนแห่เจ้าชาย มีงานรื่นเริง เชิญแขกมากมาย แต่พอตาย พิธีเรียบง่ายมาก ทำกันในครอบครัว ดังที่เห็นตามแม่น้ำข้างทาง หรือที่แม่น้ำคงคา เขาคงคิดไม่ออกว่าจะทำงานศพให้อลังการไปทำไม ในเมื่อก็ตายแล้ว ทำยังไงก็ไม่ฟื้นคืนมาได้ เก็บเงินไว้แต่งงานลูกหลานให้อลังการดีกว่า สดชื่นกว่ากัน  ขอโทษที่ข้าพเจ้าฟุ้งซ่านมาก จนไปคิดแทนเขา ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องของศาสนาประเพณีวัฒนธรรม ต่างจิตต่างใจกันไปของแต่ละประเทศ เรากลับมานอนที่ สวิสโซเตล อีกครั้ง ค่ำแล้ว ไม่ได้ไปซื้อส่าหรี ทานข้าวเสร็จก็ขึ้นนอน ข้าพเจ้าเปิดทีวีดูหนังแขก สนุกเพลิดเพลินไปสักพัก ก็เบื่อ เปลี่ยนไปดูช่องอื่น พอจะกลับมาดูช่องเดิม จะให้พี่หมูดูสักหน่อย ปรากฏว่ากลับมาไม่ถูก ข้าพเจ้ากับรีโมทนี่ไม่ค่อยถูกชะตากัน เลยปิดทีวี คืนนี้สองคนกับพี่หมูคุยกันเพลินไม่ยอมนอน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ค่อยได้สนทนาธรรม ตามที่รับปากท่านอาจารย์ มากราบสังเวชนียสถานเที่ยวนี้ ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าค่อนข้างรื่นเริงเกินเหตุ มีจ๋องๆ หน่อยตอนป่วยมาก พอค่อยยังชั่ว เริ่มส่งกระจายเสียง จนน้องเหน่งแซวว่าเริ่มได้ยินเสียงพี่แล้ว แสดงว่าหายป่วย ข้าพเจ้ามากราบสังเวชนียสถานด้วยความตั้งใจจะสำรวมกาย วาจา ใจ ทุกครั้ง แต่ก็บังคับบัญชาให้เป็นไปตามความตั้งใจหวังไม่ได้สักครั้ง เหมือนมาเจอญาติมิตรและบรรยากาศเก่าๆ ช่างน่ารื่นรมย์ สนุกสนานเสียจริงๆ คงเป็นเพราะสะสมสัจจะบารมี (ความจริงใจที่จะละกิเลส มั่นคงในความจริง ในสิ่งที่พูด) อธิษฐานบารมี (ความตั้งใจมั่น มีปณิธานแน่วแน่ในการกระทำ ตรงและจริงต่อความตั้งใจ) และขันติบารมี (ความอดทน อดกลั้น) มาน้อยมาก  การอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่ต้องอบรมให้เป็นปกติในชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า คนทำดี ก็รู้ว่าทำดี หรือ คนทำชั่ว ก็รู้ว่าทำชั่ว นับว่าเป็นคนประเสริฐ แต่คนทำดี ก็ไม่รู้ว่าทำดี หรือ คนทำชั่ว ก็ไม่รู้ว่าทำชั่ว เป็นคนไม่ประเสริฐเลย  นึกขึ้นมาได้อย่างนี้ข้าพเจ้าก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย พอมีกำลังใจ

ในห้องพักของโรงแรมนี้ ประตูห้องน้ำเขาเป็นกระจกเงา ทั้งในและนอกห้องน้ำ ข้าพเจ้าเห็นสังขารตนเองในกระจกแล้วปลงอนิจจัง เห็นในความไม่งามว่าไม่งามจริงๆ โรงแรมเขาคงไม่ได้คิดว่าจะมีคนอย่างนี้มาพัก แล้วข้าพเจ้าก็นึกสนุก หยิบกล้องมาถ่ายรูปตัวเอง ถ่ายรูปคนอื่นมาก็เยอะแล้ว ถ่ายรูปตัวเองสักหน่อย ข้าพเจ้าเคยถ่ายรูปตัวเอง ในห้องน้ำชั้นล่าง ที่โรงแรมปาวัน สาวัตถี ซึ่งเห็นรูปตัวเองสะท้อนเป็นหลายๆ คน ซ้อนๆ กันไป เข้าท่าดี    

เสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2555 (โกลกาตา – กรุงเทพฯ)

เมื่อยังมีความหวัง ... ก็ต้องมีความสมหวัง และ ความผิดหวัง

เช้านี้ไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารเดิม วันนี้มีแปลกคือ มีปลาแซลมอนที่แล่เป็นชิ้นบางๆ พวกเราขอให้กุ๊กช่วยทำให้สุกด้วย นึกหวานคอแร้งว่า คงอร่อยแน่ โอย ที่ไหนได้ แร้งกลืนแทบไม่ลง มันเป็นแซลมอนเค็ม ทำแบบเบคอน คงจะให้ทานกับขนมปังหรือสลัด กุ๊กใจดี ให้มาสามจานพูนๆ ทานเล่นไม่ไหว พี่หมูว่าถ้าทานกับข้าวต้มคงดีขึ้น ขนาดทานกับข้าวต้ม ก็ยังไม่ได้เรื่อง ที่สุดก็กระเสือกกระสนทานจนหมด ด้วยความเกรงน้ำใจกุ๊กและปลาแซลมอนที่พลีชีพให้ จริงๆ ถ้าทานกับผักและน้ำสลัดตามที่ฝรั่งเขาทานกันก็คงอร่อยแล้ว ไปทานแบบกระเหรี่ยงไทย ก็เลยเป็นอย่างงี้ ข้าพเจ้าไม่ลืมคาปูชิโน แต่ด้วยเสียเวลาไปกับปลาแซลมอนจนใกล้เวลานัดไปสนามบิน ความรีบทำให้ดื่มคาปูชิโนถ้วยโตไม่อร่อยอย่างที่หวังไว้ แถมยังลืมหยิบลูกแพร์มาอีก เฮ้อ สรรพสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นอนัตตาจริงๆ

ระหว่างรอเครื่องบิน เราแวะช้อปปิ้งให้สตางค์หมด ข้าพเจ้าแวะร้านขายชา กำลังดูชาชนิดต่างๆ อยู่ น้องผู้ชายคนที่ไม่ค่อยพูดอยู่ท้ายรถคันที่ข้าพเจ้านั่ง มากระซิบถามข้าพเจ้าว่า พี่ ชามัสล่ามีไหม ข้าพเจ้าเลยถามแขกเจ้าของร้านให้น้อง ให้ตัวเองและให้พี่ๆน้องๆคนอื่นๆ ที่สนใจ ข้าพเจ้าได้ชามัสล่า แบบอังกฤษ คือ ซองละถ้วย มากล่องหนึ่ง อีกแบบเป็นแบบดั้งเดิมคือเป็นผง ต้องเอาไปต้มกับนม ข้าพเจ้าไม่มีเวลาทำ เลยเลือกแบบง่ายๆ เอามาชงดื่มเล่น พอให้หายอยาก ขากลับทีมงานสั่งอาหารไว้ให้เราแล้ว เลยอิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า ข้าพเจ้าได้นั่งกลางระหว่างคุณภูษิตและน้องผู้หญิงในชุดปฏิบัติธรรมสีขาวซึ่งมากับอีกคณะ น้องถือศีลแปดเลยยกข้าวกล่องให้คุณภูษิต เราสามคนคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหรกปนธรรมะ น้องวิภาพรนั่งข้างหน้าเลยหันมาร่วมวงด้วย แหม กำลังจะตั้งวงอยู่แล้ว แต่ฟังไม่รู้เรื่องเพราะหูอื้อมาก เสียงค่อยเหลือเกิน ต้องยอมแพ้ ไม่นานก็ถึงดอนเมือง กรุงเทพฯ ตอนบ่ายแก่ๆ

คณะพรรครีบล่ำลากันกลับบ้าน ไม่มีงานเลี้ยงใด ไม่เลิกรา เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปอย่างรวดเร็วเสมอ ปีนี้น้ำไม่มา และถึงดอนเมืองเร็ว คุณหน่อยและอีกหลายคนใจเย็นช๊อปปิ้งในสนามบินต่อ ข้าพเจ้าลากและสะพายกระเป๋าไปหาแท็กซี่ คนรอคิวที่ชั้นหนึ่งยาวเหยียด พอดีเจอเจ้าหน้าที่ใจดี เห็นกระเป๋าไม่มาก เขาบอกให้ไปชั้นบน ตรงที่แท็กซี่มาส่งผู้โดยสาร จะเร็วกว่าตรงนี้ ข้าพเจ้าขึ้นไปเจอแท็กซี่พอดี รวดเร็วทันใจตามกุศลวิบากเป็นปัจจัยอำนวยให้ได้รับจริงๆ




THAIWARE Dharma | นำข้อมูลบทความออก !  นำข้อมูลออกพิมพ์ !

THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออก โดยการพิมพ์ (Print Article by Printable View)    THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออกสู่ MS.Word (Export Article to MS.Word)    THAIWARE Dharma | นำข้อมูลออกสู่ ไฟล์เอกสาร PDF (Export Article to PDF Format Document)
 

THAIWARE Dharma | กลับสู่หน้าแรก ไทยแวร์ธรรมะ
 

 

 

 

  THAIWARE Dharma | ส่งความคิดเห็นจากทางบ้าน !
หัวข้อ เนื้อหา ข้อตกลง
  ความคิดเห็น* :

หมายเหตุ : กรอกรายละเอียดของบทความเข้าไป (ไม่รับ HTML Code) สามารถกด Enter ขึ้นบรรทัดใหม่ได้
  ห้ามโพสข้อความ !

  ที่มีการพาดพิงถึงสถาบัน พระมหากษัตริย์และราชวงศ์

  ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือส่งผลต่อ ความมั่นคงของประเทศ

  ที่ส่อไปทางลามก อนาจาร หรือผิดศีลธรรม

  ที่ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผิดกฎหมาย

  ที่เป็นความผิด เกี่ยวกับการก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา

  ที่มีการพาดพิงถึงสถาบัน พระมหากษัตริย์และราชวงศ์

  ที่ผิดต่อ พรบ. ว่าด้วยการกระทำผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๑
  ชื่อ / อีเมล์* :

หมายเหตุ : "นาย สมชาย รักธรรม" หรือ "somchai.r@gmail.com"
  รหัสยืนยัน* :

 
ฉันยอมรับข้อตกลงที่กล่าวมา ภายในหน้านี้ ทั้งหมด