สุขได้เมื่อใจเบิกบาน
๒๔ /๐๗/๒๕๕๕
ร่างกายของคนเราล้วนถูกลรุมเร้า ด้วยโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ยากที่จะห้ามปรามได้ สุดท้ายชีวิตของเราทั้งหลายต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย แต่ความเจ็บปวดนั้น ทำร้ายได้แต่ส่วนของร่ายกาย ส่วนใจของเราที่เข็มแข็งจึงเป็นเสมือนกำแพงกันความปวดร้าวต่างๆ ได้อย่างมั่นคง
เช้าวันหนึ่งเป็นวันที่เณรน้อยได้มาตามที่หมอนัดไว้ เพื่อตรวจเช็คกระดูกที่แขนทั้งสองข้าง ในโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยคนป่วยมากมาย หลวงพี่จุ้นเป็นผู้รับผิดชอบพาเณรมาหาหมอ ได้เกิดความสังเวชใจอย่างหนึ่งขึ้น เมื่อได้เห็นภาพคนป่วยมากมาย คนป่วยเหล่านั้นล้วนเจ็บทั้งกายและทุกข์ใจ
คนเราเมื่อป่วยไข้ สิ่งหนึ่งที่ป่วยตามคือใจ เพราะว่าความทุกข์ทางกายที่เกิดขึ้น ย่อมทำให้ใจของเราหดหู่ตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ผู้เขียนเองมีอยู่ครั้งหนึ่งป่วยเป็นโรคหัด ถือว่าเป็นโรคติดต่อชนิดเดียวกันกับอีสุกอีใส ที่ป่วยแล้วทรมานมาก การติดโรคหัดในครั้งนั้น เกิดจากการเล่นกับเพื่อนคนหนึ่ง ที่เป็นโรคหัดก่อนผู้เขียน
ด้วยความเป็นเด็กและมีเพื่อนคนนี้ที่สนิทกันมากก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร หลังจากเล่นด้วยกันทุกวันๆ ผู้เขียนเริ่มมีอาการตัวร้อนและมีไข้ ไม่นานผื่นแดงๆเกิดเต็มตัวไปหมด
ความทรมานในครั้งนั้น ผู้เขียนแทบจะกินอะไรไม่ได้เลย ใจก็เริ่มหดหู่ แต่คนที่คอยดูแลเป็นห่วงและให้กำลังใจตลอดคือแม่ของเราเอง แม่คอยดูแลทุกอย่างและที่สำคัญแม่จะพูดให้กำลังใจเสมอ
หลวงพี่จุ้นเมื่อพาเณรมาหาหมอตามหนังสือนัดจากโรงพยาบาล สิ่งที่ได้เห็นเมื่อลงจากรถคือคนเจ็บมากมาย ทั้งคนแก่ คนหนุ่มสาว และเด็ก คนทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่มีความทุกข์กายด้วยกันทั้งนั้น
บางคนเจ็บปวดมากส่งเสียงร้องดังลั่นโรงพยาบาล สร้างความเศร้าใจในความทุกข์ที่เห็นเป็นอย่างมากสำหรับพระหนุ่มผู้บวชได้ไม่นาน และหน้าที่อันสำคัญสำหรับท่านคือการดูแลรับชอบเณรทุกรูปที่อยู่ในวัด
วัดคือสถานที่สงบ ไร้เสียงรบกวนต่างๆ แต่โรงพยาบาลเต็มไปด้วยเสียงคนป่วย ญาติ เจ้าหน้าที่ ล้วนแต่วุ้นวาย ไร้ความสงบ
บางคนร้องไห้เสียใจกับอาการป่วยของญาติ ที่รักษาแล้วอาจไม่หาย ความทุกข์เหล่านั้นมีทั้งคนป่วยและญาติพี่น้อง เมื่อคนป่วยทุกข์กายและใจ ญาติพี่น้องที่เฝ้าดูแลก็ทุกข์ตามไปด้วย
หลวงพี่จุ้น จึงสอนเณรที่กำลังนั่งรอคิวอยู่นั้นว่า “คนเราป่วยกายได้แต่อย่าป่วยใจ เณรต้องมีใจที่เข้มแข็งอดทน ถ้าเณรไม่อดทนความเจ็บปวดที่ได้รับ ยิ่งทรมานมากยิ่งขึ้นและไม่มีทางที่จะหายได้อย่างเร็ว ดังนั้นเณรจะเลือกอะไร? ระหว่างย่อมทุกข์กายและทุกข์ใจ หรือย่อมทุกข์กายแต่สุขใจ”
ในเวลานั้นหลวงพี่จุ้น จึงชี้นิ้วไปทางเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนตัดขาข้างหนึ่งแต่เธอยังมีรอยยิ้มที่สดใสเบิกบาน ไม่มีอะไรเลยที่จะบอกว่าเธอมีความทุกข์
หลวงพี่จุ้นพูดว่า “เณรดูเด็กผู้หญิงคนนั้นซิ โดนตัดขาข้างหนึ่งแต่ยังยิ้มได้ แต่เณรแค่แขนหัก ยังทำหน้าเหมือนจะโดนตัดแขนซะงัน”
หลวงพี่พูดต่อว่า “ถ้าเณรโดนตัดแขนจะเป็นอย่างไร?”
เณรตอบว่า “ไม่รู้ครับ พร้อมสีหน้าที่บอกให้รู้ว่าอมทุกข์”
หลวงพี่พูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น เณรก็ต้องอายหมาบางตัวแล้วล่ะ พร้อมชี้มือไปที่ถังขยะหน้าโรงพยาบาลแล้วพูดต่อว่า หมาตัวนั้นขามันขาดข้างหนึ่งแต่มันยังอุตสาห์มีชีวิตที่เข้มแข็งบนโลกนี้ต่อไป
เณรได้แต่ก้มหน้านิ่งโดยไม่พูดอะไร
สุดท้ายจึงพูดขึ้นว่า “ ผมแค่แขนหัก ถือว่าโชคดี แต่ผมทำตัวงอแง ไม่สมกลับเกิดมาเป็นผู้ชาย ต่อไปนี้ผมจะอดทนและเข้มแข็ง ผมเจ็บแขนแต่จะไม่ขอเจ็บใจครับ”
หลวงพี่พูดว่า “ เอาล่ะถ้าอย่างนั้นเณรต้องขอบคุณรอยยิ้มที่สดใสของเด็กผู้หญิงคนนั้นและหมาตัวนั้น”
เณรถามอย่างรวดเร็วว่า “เพราะอะไรครับ”
หลวงพี่ตอบพร้อมกับลูบหัวเณรเบาๆว่า เพราะเขาทำให้เณรมีใจที่เข้มแข็งไง”
คนเราถ้าป่วยกายก็อย่าปล่อยให้จิตใจป่วยไปด้วย เพราะความสุขของคนเราไม่ได้เกิดที่กายอย่างเดียว ใจต่างหากที่สำคัญเพราะมันเป็นสุขที่อยู่ภายใน พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า “ใจของมนุษย์ประเสริฐที่สุด” ถ้ามนุษย์คนไหนใจไม่ประเสริฐก็เป็นได้แค่เพียงคน เพราะมนุษย์มีใจที่สูงด้วยธรรมและมีสติเบิกบานอยู่ตลอดเวลา อุปมาเหมือนกับดอกบัวที่พ้นน้ำขึ้นมา เมื่อโดนแสงแห่งอรุณก็เบ่งบานทันทีฉันใด ใจของคนเราก็ฉันนั้น เมื่อแสงแห่งกำลังใจที่มาจากใครสักคนสาดส่องมากระทบเข้า ใจดวงนั้นก็เบ่งบานเช่นเดียวกัน
ธ. อินฺทเมธี